รักสุขภาพต้อง “รักษาสิทธิ์” ตนเอง

รู้ พ.ร.บ.-รัฐธรรมนูญ สุขภาพดีถ้วนหน้า

 

รักสุขภาพต้อง “รักษาสิทธิ์” ตนเอง 

การมีสุขภาพดี เป็นเรื่องที่ใครต่อใครก็ต้องการ แต่ที่สำคัญมันต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ แต่นั้นอาจยังไม่เพียงพอกับคำว่าสุขภาพดีที่แท้จริง กฎหมายเกี่ยวกับสุขภาพ จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ประชาชนควรรู้และเข้าใจ เพื่อรักษาสิทธิ์ในการให้บริการหรืออื่นๆ เพื่อสุภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้นับเป็นความโชคดีอันสูงสุดของปวงชนชาวไทย ที่มีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระประมุขของชาติ พระองค์ทรงทำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมาโดยตลอดในทุกๆ เรื่อง แม้แต่เรื่อง สุขภาพของราษฎร พระองค์ก็ทรงให้ความสำคัญเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน โดยโปรดให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

 

โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยสุขภาพแห่งชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้น

 

ซึ่ง พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยให้บังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

 

…นี่ถือเป็นเรื่องอันดับต้นๆ ที่ทุกคนควรให้ความสนใจ โดยใน พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ได้ระบุไว้ว่า สุขภาพ หมายถึง ภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางปัญญา และทางสังคม เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล ปัญญา หมายถึง ความรู้ทั่ว รู้เท่าทันและความเข้าใจอย่างแยกได้ในเหตุผลแห่งความดี ความชั่ว ความมีประโยชน์และความมีโทษ ซึ่งนำไปสู่ความมีจิตอันดีงามและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ระบบสุขภาพ หมายความว่า ระบบความสัมพันธ์ทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ บริการสาธารณสุขหมายความว่า บริการต่างๆ อันเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันและควบคุมโรคและปัจจัยที่คุกคามสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยและบำบัดสภาวะความเจ็บป่วย และการฟื้นฟูสมรรถภาพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน

 

คนเราทุกคนนั้นมีสิทธิเท่าเทียมกัน ถึงแม้จะเป็นด้านสุขภาพก็ตาม เราก็ควรที่จะรู้และเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อจะได้รักษาสิทธิ์ของเรา โดยในพระราชบัญญัตินี้ได้ระบุสิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพไว้ว่า ในมาตรา 6 สุขภาพของหญิงในด้านสุขภาพทางเพศและสุขภาพของระบบเจริญพันธุ์ซึ่งมีความจำเพาะ ซับซ้อนและมีอิทธิพลต่อสุขภาพหญิงตลอดช่วงชีวิต ต้องได้รับการสร้างเสริม และคุ้มครองอย่างสอดคล้องและเหมาะสม สุขภาพของเด็ก คนพิการ คนสูงอายุ คนด้อยโอกาสในสังคมและกลุ่มคนต่างๆ ที่มีความจำเพาะในเรื่องสุขภาพต้องได้รับการสร้างเสริมและคุ้มครองอย่างสอดคล้องและเหมาะสมด้วย อีกทั้งในมาตรา 7 ระบุด้วยว่า ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล จำเป็นต้องเป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่นเพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้

 


            ในส่วนของการบริการสาธารณสุขนั้น มาตรา 8 ระบุไว้ว่า บุคลากรด้านสาธารณสุขจำเป็นต้องแจ้งข้อมูลด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการให้ผู้รับบริการทราบอย่างเพียงพอที่ผู้รับบริการจะใช้ประกอบการตัดสินใจในการรับหรือไม่รับบริการใด และในกรณีที่ผู้รับบริการปฏิเสธไม่รับบริการใด จะให้บริการนั้นมิได้ ในกรณีที่เกิดความเสียหายหรืออันตรายแก่ผู้รับบริการเพราะเหตุที่ผู้รับบริการปกปิดข้อเท็จจริงที่ตนรู้และควรบอกให้แจ้ง หรือแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ผู้ให้บริการไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรืออันตรายนั้น เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ให้บริการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับกรณีดังต่อไปนี้


 


 

1. ผู้รับบริการอยู่ในภาวะที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและมีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเป็นการรีบด่วน 2. ผู้รับบริการไม่อยู่ในฐานะที่จะรับทราบข้อมูลได้ และไม่อาจแจ้งให้บุคคลซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ปกครอง ผู้ปกครองดูแล ผู้พิทักษ์ หรือผู้อนุบาลของผู้รับบริการ แล้วแต่กรณี รับทราบข้อมูลแทนในขณะนั้นได้

 

            นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเรื่อง สมัชชาสุภาพ ในมาตรา 40 ไว้ด้วยว่า สามารถให้ประชาชนจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ หรือสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น หรือสนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ หรือสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) กำหนด

 

            และเนื่องด้วยวันที่ 10 ธ.ค. นี้ตรงกับวันรัฐธรรมนูญ ประชาชนอย่างเราๆ ก็ควรที่จะรับรู้ถึง ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ด้วยเช่นกัน โดยในมาตรา 46 ระบุว่าให้ คสช. จัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และการดำเนินงานด้านสุขภาพของประเทศเสนอ คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในการจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ให้ คสช. นำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของสมัชชาสุขภาพมาประกอบด้วยเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติแล้ว ให้รายงาน

ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ คสช. ทบทวนธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติอย่างน้อยทุก 5 ปี

 

ที่สำคัญต้องสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้ 1. ปรัชญาและแนวคิดหลักของระบบสุขภาพ 2. คุณลักษณะที่พึงประสงค์และเป้าหมายของระบบสุขภาพ 3. การจัดให้มีหลักประกันและความคุ้มครองให้เกิดสุขภาพ 4. การสร้างเสริมสุขภาพ 5. การป้องกันและควบคุมโรคและปัจจัยที่คุกคามสุขภาพ 6. การบริการสาธารณสุขและการควบคุมคุณภาพ 7. การส่งเสริม สนับสนุน การใช้และการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือกอื่นๆ 8. การคุ้มครองผู้บริโภค 9. การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านสุขภาพ 10. การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ 11. การผลิตและการพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุข 12. การเงินการคลังด้านสุขภาพ

 

กฎทุกกฎย่อมมีบทลงโทษ!!! พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ ก็เช่นกัน ตามมาตรา 49 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 7 หรือมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

            เมื่อรู้สาระสำคัญของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ว่าเป็นอย่างไรแล้ว ก็อย่าลืมนำทั้ง 2 อย่างนี้ไปใช้ เพราะคนเราจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเป็นธรรมและมีสิทธิ์ที่จะมีสุขภาพดีทุกคน…

 

            …ให้สมกับคำว่า สุขภาพดีเริ่มได้ที่ตัวเรา 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update: 09-12-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

 

Shares:
QR Code :
QR Code