รอบรู้เรื่องถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัย (Condom) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น โดยขบวนการจุ่มแบบพิมพ์ ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์ ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติ เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2531 ซึ่งผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าจะต้องขอรับใบอนุญาต จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และถุงยางอนามัยจะต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดไว้
ขบวนการผลิตถุงยางอนามัย ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ การผสม การขึ้นรูป การอบแห้งและทำให้ยางคงรูป การตรวจสอบหารอยรั่วด้วยไฟฟ้า การเติมสารหล่อลื่นและการบรรจุ โดยมีขั้นตอนสำคัญคือการควบคุมคุณภาพ ถุงยางอนามัย ซึ่งผู้ผลิตจะทำการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามมาตรฐานที่กำหนด มีการตรวจสอบถุงยางอนามัยก่อนออกจำหน่าย โดยกำหนดให้ถุงยางอนามัยทุกรุ่นการผลิตหรือนำเข้าจะต้องถูกสุ่มตัวอย่างเพื่อส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจ วิเคราะห์คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด หากพบว่าได้มาตรฐานจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้ ถ้าคุณภาพไม่เข้ามาตรฐาน จะต้องถูกทำลาย หรือส่งกลับประเทศผู้ผลิตทันที
การเลือกซื้อ การเลือกซื้อถุงยางอนามัยทุกครั้ง จะต้องคำนึงถึง คือ
1. อ่านฉลากก่อนซื้อ การอ่านฉลากถุงยางอนามัยก่อนซื้อทุกครั้ง จะทำให้ทราบว่าถุงยางอนามัยดังกล่าว ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือไม่ ถุงยางอนามัยหมดอายุการใช้งานหรือยัง มีความเหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ใช้หรือไม่ ข้อความที่เป็นส่วนสำคัญที่ควรพิจารณาดูจากฉลาก ได้แก่
เครื่องหมาย อย.
ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ที่ ในกรณีที่เป็นการผลิตในประเทศ
ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ที่ ในกรณีที่เป็นการนำเข้า ฯวันหมดอายุ
การกำหนดวันหมดอายุของถุงยางอนามัยผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนดตามความเหมาะสมและตามผลการศึกษาความคงสภาพของถุงยางอนามัย ผู้ซื้อสามารถสังเกตว่าถุงยางอนามัยหมดอายุหรือไม่ โดยสังเกตคำว่า “หมดอายุ” หรือ “ต้องใช้ก่อน” ซึ่งจะแสดง เดือน และปี ที่หมดอายุไว้บนฟอยล์ บรรจุแต่ละชิ้นและบนซองหรือกล่องย่อย
2. ประเภทของถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยแบ่งประเภทตามขนาดความกว้างของถุงยางอนามัย (ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางอนามัย) แบ่งออก เป็น 13 ขนาด คือ 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50, 51, 52, 53, 54, 55 และ 56 มิลลิเมตร(มม.) ขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทย ส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. 51 มม. และ 52 มม. จากการสำรวจพบว่าปกติชายไทยจะใช้ถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. การเลือกซื้อขนาดที่ใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากขนาดเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย
3. ชนิดของถุงยางอนามัย ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ การเลือกซื้อควรสังเกตดูว่า เป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ควรสังเกตข้อความอื่น ๆ เช่น ชื่อผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่นหรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ
4. การบรรจุ ควรตรวจดูลักษณะของซองย่อยหรือกล่องบรรจุว่า ชำรุดหรือฉีกขาดหรือไม่ หากพบการชำรุดหรือ ฉีกขาดไม่ควรเลือกซื้อ โดยให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าถุงยางอนามัยที่บรรจุอยู่ภายในอาจฉีกขาดหรือเสื่อมคุณภาพแล้ว
5. การจัดวางสินค้า ซื้อจากร้านค้าที่มีการเก็บถุงยางอนามัยพ้นจากแสงแดดหรือความร้อน
วิธีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง
1. นำถุงยางอนามัยออกจากซองบรรจุอย่างระมัดระวัง โดยการฉีกมุมซองและระวังมิให้เล็บเกี่ยวถุงยางอนามัยขาด และอย่าคลี่ถุงยางอนามัยออกก่อนการสวมใส่
2. บีบส่วนปลายของถุงยางอนามัยเพื่อไล่อากาศออก
3. รูดถุงยางอนามัยให้ขอบถุงยางอนามัยที่ม้วนอยู่ด้านนอก
4. สวมถุงยางอนามัยขณะอวัยวะเพศแข็งตัว หากอวัยวะเพศไม่ได้ขลิบส่วนปลายให้รูดหนังส่วนปลายก่อนการสวมใส่ ค่อย ๆ รูดถุงยางอนามัยเข้าหาตัวผู้ใช้จนสุด
5. หลังเสร็จกิจ ให้ดึงอวัยวะเพศออกทันทีและถอดถุงยางอนามัยออกก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว โดยใช้กระดาษชำระ พันโคนถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระจะต้องไม่ให้มือสัมผัสกับถุงยางอนามัย ควรสันนิษฐานว่า ด้านนอกของถุงยางอนามัยอาจปนเปื้อนเชื้อโรคแล้ว
6. ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วให้ทิ้งในถังขยะหรือนำไปเผา
การเลือกใช้ถุงยางอนามัยอย่างเหมาะสม
ผู้ใช้จะต้องเลือกใช้ถุงยางอนามัยให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความพึงพอใจของตนเองทั้งขนาดและชนิดของถุงยางอนามัย ถ้าผู้ใช้ต้องการใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณลักษณะพิเศษ ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีให้ท่านเลือกมากมาย หลายรูปแบบตาม ความต้องการของท่าน เช่น
สารหล่อลื่น ถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งชนิดมีสารหล่อลื่น หรือไม่มีสารหล่อลื่น หรือมีสารหล่อลื่น และสารฆ่าเชื้ออสุจิ แล้วแต่กรณี
สี ถุงยางอนามัยมีสีหลากหลายให้เลือกใช้ตั้งแต่สียางธรรมชาติ สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีชมพู ฯลฯ
กลิ่น มีให้เลือกหลายกลิ่นมากมาย เช่น กลิ่นสตรอเบอรี่ กลิ่นมิ้นท์ กลิ่นกล้วยหอม รวมถึงกลิ่นทุเรียน แต่ถุงยางอนามัยที่มีการแต่งกลิ่นนั้นเป็นการแต่งกลิ่นเท่านั้นแต่มิได้มีรสชาติของผลไม้ตามที่ท่านเห็นอยู่บนฉลากแต่อย่างใด
การใช้ถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ
ปัจจุบันยังพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ เช่น มีการฝังมุก มีขนม้าแซม มีฟองน้ำ หรือมี ขอบตาแพะ ซึ่งถุงยางอนามัยเหล่านี้เป็นการลักลอบผลิต หรือนำเข้า โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ถุงยางอนามัยเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติในการคุมกำเนิดหรือป้องกันโรคแต่อย่างใด ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมุ่งหวังเพียง เพื่อสร้างความสุขและความพอใจให้แก่คู่นอนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงจะได้รับความเจ็บปวด ระคายเคืองมากกว่า และก่อให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้
ข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย
ระยะเวลา การใช้ถุงยางอนามัยต้องใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่ และการใช้แต่ละชิ้นไม่ควรนานเกิน 30 นาที เพราะหากใช้เป็นระยะเวลานาน ความแข็งแรงและความทนทานของถุงยางอนามัยอาจลดลง และทำให้ถุงยางอนามัยรั่วได้
การใช้ร่วมกับสารหล่อลื่น การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่น สารหล่อลื่นที่ใช้เป็นชนิด ที่มีน้ำหรือซิลิโคนเป็นตัวทำละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วาย เจลลี่ ฯลฯ ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการให้มีการหล่อลื่นเพิ่มขึ้น โดยใช้สารหล่อลื่นมาทาถุงยางอนามัยเพิ่มนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารหล่อลื่นประเภทที่มี น้ำมันพืช น้ำมันแร่เป็นตัว ละลาย เช่น ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร น้ำมันใส่ผม ฯลฯ เนื่องจากน้ำมันเหล่านี้จะไปทำปฏิกิริยากับ เนื้อยาง และสามารถทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ และมีรูรั่วได้ในเวลาอันสั้นแม้เพียงเสี้ยวนาที
การเก็บรักษา
ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้ด้วยตัวของมันเองเมื่อระยะเวลาผ่านไป และจะเสื่อมคุณภาพมากขึ้นหากเก็บรักษาไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าภาชนะบรรจุอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ดังนั้นถุงยางอนามัยที่ได้ผ่านการผลิต การควบคุมคุณภาพจนได้มาตรฐานแล้วจำเป็นจะต้องมีการเก็บรักษาให้ถูกต้อง เพื่อรักษาสภาพ คุณภาพให้เป็นไปตามที่ต้องการ โดยมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้
1. ไม่เก็บรักษาในที่มีความชื้นสูง ในที่ร้อน หรือสัมผัสโดยตรงกับแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์
2. ไม่เก็บถุงยางอนามัยไว้ในช่องเก็บของในรถยนต์ เนื่องจากมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน
3. ไม่เก็บในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น กระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับหักงอ ทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย หรือซองบรรจุฉีกขาดทำให้มีการปนเปื้อนจากภายนอกได้
โรคเอดส์เป็นโรคที่ยังรักษาไม่ได้แต่ป้องกันได้ดังนั้นทุกคนควรตระหนักและรู้จักป้องกันโดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ์ เพราะการมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวก็ติดเอดส์ได้หากไม่ใช้ถุงยางอนามัย ดังนั้นถุงยางอนามัยจะเป็นผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถใช้ในการป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพอย่างถูกต้องเหมาะสม ก็มิใช่เป็นการป้องกันโรคเอดส์ได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ การงดเที่ยวหรืองดสำส่อนทางเพศจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและป้องกันโรคเอดส์ได้อย่างแท้จริง
ที่มา : กองเผยแพร่และควบคุมโฆษณา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
Update:29-11-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่