รวมพลังสู้หวัด 2009 “คุณ…คือเจ้าภาพ!”
เจ้าโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กำลังระบาดอยู่นี้เป็นโรคใหม่ แพร่กระจายเร็ว และตอนนี้เป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้น ยังจะระบาดมากขึ้นช่วงปลายฝนต้นหนาว…การปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่เพียงพอ แต่ทุกคนในประเทศต้องร่วมมือกันเป็นเจ้าภาพสู้หวัด!
จากข้อมูลการระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ทำนายว่าการระบาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะมีการระบาดมากกว่าหนึ่งรอบ และมีคนไทยติดเชื้อกว่า 1 ใน 3 ของประชากร และในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า หากกลไกและมาตรการดำเนินการยังจำกัดอยู่ในภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทำงานจนอ่อนล้า จะไม่เพียงพอต่อการจัดการ และรองรับกับปัญหาที่รุนแรงและวิกฤตขนาดนี้ได้ ดังนั้นจำเป็นต้องระดมพลังทุกส่วนมาเป็นเจ้าของปัญหาร่วมกัน
ไม่นานมานี้ คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้ตั้ง คณะอนุกรรมการสนับสนุน การป้องกัน ควบคุม และแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 2009 ขึ้นโดยมี นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้มีภารกิจอะไรบ้าง “สร้างสุข” จะไปถามกันอย่างละเอียดลออ จาก ทพ.กฤษดา เรืองอารีรัชต์ รองผู้จัดการ สสส.
“การระบาดที่ผ่านมาอยู่ในช่วงเริ่มต้น อีก 2 เดือนต่อจากนี้จะเป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดสูงเป็นปกติทุกปี ดังนั้นตัวเลขผู้ป่วยอาจสูงขึ้น มาตรการที่ต้องทำคือการลดผลกระทบ ไม่ให้มีผู้ป่วยพร้อมกันมากๆ จนล้นโรงพยาบาล การรักษาไม่พอ…นั่นคือ เป้าหมายของเรา” ทพ.กฤษดา กล่าว
งานใหญ่เช่นนี้ คงไม่สามารถทิ้งให้เป็นภาระให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำงานแก้ไขปัญหาไปเพียงลำพังจึงเสนอว่าต้อง ‘รวมพลังสู้หวัด’ โดยเปลี่ยนมุมมองของสังคม ว่า ทุกคนเป็นเจ้าภาพ
“หน้าที่ของคณะอนุกรรมการคือ สนับสนุน ไม่เน้นทำงานที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น แต่จะเน้นช่วยประสานหน่วยงานต่างๆให้เข้ามาเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ในการดูแลคนในกลุ่มของตัวเอง”
คณะอนุกรรมการฯ เน้นเคาะประตูบ้าน 4 หน่วยงานหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 33 ล้านคน ชวนมาเป็นเจ้าภาพร่วม พร้อมถามว่า สสส.ซึ่งมีความคล่องตัวในการทำงานจะช่วยสนับสนุนอะไรได้บ้าง ได้แก่…
กลุ่มสถาบันการศึกษา ผ่านกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนสังกัดกทม. เอกชน 40,153 โรง สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ 165 แห่ง ที่มีนักเรียนนักศึกษาในความดูแลกว่า 20 ล้านคน ซึ่งจะมีมาตรการเข้มข้นในการคัดกรองผู้ป่วย ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมกัน ให้นักเรียนมีแก้วน้ำและช้อนทานอาหารของตนเอง พร้อมทั้งสนับสนุนสื่อให้ความรู้เรื่องไข้หวัด 2009
กลุ่มชุมชนและท้องถิ่น โดยร่วมกับกระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ 3,500 อบต. รวมถึง กรุงเทพมหานคร ที่ร่วมมือจัดมาตรการดูแลสถานที่ชุมชน อาทิ สวนสาธารณะ ตลาด โรงเรียน
กลุ่มสถานประกอบการ โรงงาน ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานที่มีแรงงานในประกันสังคมกว่า 9 ล้านคน โดยจะร่วมสนับสนุนสื่อในการจัดคาราวานแรงงานป้องกันไข้หวัด 2009 ทั่วประเทศ รวมถึง สามเหล่าทัพ ได้รับความร่วมมือ จากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ เพื่อดูแลกำลังพลและครอบครัวกว่า 2 ล้านคน
สถานที่ชุมนุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบโดยสารสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รถ/เรือเมล์ ซึ่งมีผู้ใช้บริการรวมไม่ต่ำกว่า 2.6 ล้านคนต่อวัน และสถานที่อย่างห้างสรรพสินค้า โรงหนัง สถานบันเทิงต่างๆ ร้านอินเตอร์เน็ต ตลาด สวนสาธารณะ เป็นต้น
รุก ด้วยการสื่อสาร
“ที่ผ่านมาข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดยังสะเปะสะปะ เราจึงจะจัดระบบการสื่อสารใหม่ทั้งหมด โดยนอกจากจัดทำสื่อรณรงค์ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ ป้ายกลางแจ้ง”
โดยสปอตรณรงค์จะเน้นเนื้อหา 4 ประเด็น คือ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาหวัด, การหยุดแพร่เชื้อด้วยการหยุดอยู่บ้าน, ความเข้าใจวงจรการแพร่เชื้อ และ การสร้างความเข้าใจเหตุผลว่าการล้างมือและใส่หน้ากากจะหยุดการแพร่เชื้อได้อย่างไร
นอกจากนั้นจะทำเว็บไซต์กลางขึ้นมาเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่มีการอัพเดทตลอดเวลา ที่ www.flu2009thailand.com และจัดตั้งศูนย์สนับสนุนสื่อ เพื่อเป็นศูนย์กลางกระจายสื่อไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
เพราะการวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่เป็นเรื่องเร่งด่วน สสส. ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการทำงานสูงจึงสามารถดำเนนิ การใหก้ารสนบัสนนุ ไดท้ นั ที โดยไดส้ นบัสนนุ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาวิจัยพัฒนาวิธีการตรวจสอบภูมิต้านทาน เพื่อทราบภูมิคุ้มกันในระดับชุมชน และสนับสนุนมหาวิทยาลัยมหิดล เรื่องการประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน
ส่วนในระยะยาว ประเทศคงต้องมีบทเรียนจากงานครั้งนี้ โดยดูว่าสุดท้ายประเทศควรปรับระบบสาธารณสุขเพื่อรองรับเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างไรในอนาคต และทำเป็นข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล
“ครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดว่า โรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ใช้เวลาแค่ 1-2 เดือนในการแพร่ระบาดทั่วโลก แม้ความรุนแรงของโรคไม่ได้มากกว่าไข้หวัดใหญ่ที่มีอยู่เดิม แต่เพราะการขนส่งดีจึงแพร่กระจายรวดเร็ว ดังนั้นเราต้องถือวิกฤตเป็นโอกาส หากว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคน ให้ทุกคนเป็นเจ้าภาพ ให้การป้องกันเข้าไปอยู่เป็นระบบปกติของทุกองค์กรในอนาคตไม่ว่าจะเป็นเชื้อไหนเข้ามา ก็รับมือได้หมด” ทพ.กฤษดา กล่าวทิ้งท้าย
คนป่วยไม่แพร่เชื้อ เมื่อรู้สึกป่วย พักอยู่บ้าน 7 วัน ใส่หน้ากากอนามัย
ยังไม่ป่วย ป้องกันการสัมผัสเชื้อ ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด และระวังการไปสัมผัสบริเวณที่เสี่ยง และสร้างนิสัยใหม่ ไม่เอามือสัมผัสปาก จมูก ตา
สร้างสิ่งแวดล้อมปลอดเชื้อ ทำความสะอาดบริเวณเสี่ยงบ่อยๆ เช่น ปุ่มลิฟท์ ราวบันได คีย์บอร์ด ห้องน้ำ ลูกบิดประตู ฯลฯ
ดูแลร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อน ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์
ที่มา : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข เดือนกันยายน 2552
Update 18-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์