ยโสธรจังหวัดที่การอ่านกำลังระบาดหนัก

 

ยโสธรจังหวัดที่การอ่านกำลังระบาดหนัก

อาจเพราะวาทกรรม “คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด” เป็นสิ่งที่เราเฝ้าตอกย้ำกันเองเรื่อยมา ดังนั้น เมื่อมีการประชาสัมพันธ์อย่างโหมประโคมว่า กรุงเทพมหานครฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ได้รับคัดเลือกจากองค์การยูเนสโก ให้เป็น “เมืองหนังสือโลก” ในปี 2556 จึงปรากฏเสียงทักท้วงเชิงไม่เชื่อมั่น อาทิ “เอาอะไรเป็นตัวชี้วัด?” “สร้างภาพหรือเปล่า?” ไปจนถึง “มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่?” จะชื่นชมหรือขมขื่นอย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายปีที่ผ่านมา คนจำนวนมากเริ่มมองเห็นและเริ่มตระหนักแล้วว่า “การอ่าน” มีความสำคัญมากขนาดไหน ทั้งต่อบุคคลและต่อการพัฒนาประเทศ ชั่วโมงนี้ ถ้าใครยังไม่เห็นความสำคัญของการอ่าน คงยากที่จะคุยกันเรื่องอนาคตของสังคมไทยต่อไปแล้ว

ไกลจากกรุงเทพฯ ไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือกว่าหกร้อยกิโลเมตร “ยโสธร”นครแห่งบั้งไฟ กำลังมีปรากฏการณ์แห่ง “การอ่าน” ที่น่าตื่นตาตื่นใจเกิดขึ้น เพราะชั่วเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี ที่โครงการส่งเสริมการอ่านได้ดำเนินการ ปรากฏว่า ครอบครัวจำนวนมากที่ไม่เคยจับหนังสือ ไม่เคยเห็นความสำคัญของการอ่านแม้แต่น้อย ได้กลายเป็นครอบครัวรักการอ่าน ทั้งพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่อ่านให้ลูกหลานฟัง ทั้งลูกเด็กเล็กแดงที่อ้อนวอนขอให้ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้ฟังอย่างไม่รู้จักอิ่ม ภาพเด็กเล็กวัยยังไม่เข้าชั้นประถมขลุกอยู่ในมุมหนังสือสำหรับเด็กเป็นชั่วโมงๆ เป็นภาพที่หลายคนอาจไม่เชื่อ แต่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และเป็นภาพปกติสำหรับที่นี่

ที่น่าสนใจที่สุด คือครอบครัวเหล่านี้ไม่ใช่ชนชั้นกลางผู้มีการศึกษาสูง ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวชาวนา หาเช้ากินค่ำ ไม่ได้เรียนหนังสือ หรือเรียนจบเพียงชั้นประถม บางครอบครัว พ่อแม่อ่านหนังสือไม่ได้ด้วยซ้ำ

นรรถฐิยา ผลขาว นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ รพสต.หนองคูน้อย แกนนำและผู้ริเริ่มโครงการส่งเสริมการอ่าน เล่าถึงที่มาว่า เริ่มต้นจากงานวิจัยเรื่อง “การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการอ่านหนังสือให้เด็กฟัง กรณีศึกษา : ตำบลน้ำคำ อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร” ในช่วงปี 2553-2554 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สกว.และตนเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย โดยพัฒนาโจทย์จากความสนใจของทีมนักวิจัยที่ทุกคนสนใจเรื่องการอ่านและทำงานกับเด็กและเยาวชน ประกอบกับการได้อ่านหนังสือเรื่อง “มหัศจรรย์แห่งการอ่าน” (เขียนโดย เมม ฟ็อกซ์ แปลเป็นไทยโดย รวิวาร โฉมเฉลา) ซึ่งเกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็กโดยตรง

“ใครๆ ก็ชอบพูดกันว่า ประเทศไทยเป็นวัฒนธรรมของการบอกเล่าไม่ใช่วัฒนธรรมของการอ่าน ก็คุยกับทีมของเราที่สนใจเรื่องการอ่าน ว่าน่าจะลองทำดู เราถอดบทเรียนโดยกำหนดอายุเด็กช่วงแรกเกิดถึงสามปี ตอนแรกเปิดให้ผู้ปกครองมาสมัคร ก็ไม่ค่อยมีคนสนใจ ก็เลยใช้วิธีให้ อสม.(อาสาสมัครสาธารณสุข)เข้าร่วมด้วย แล้วก็ไปชักชวนด้วย จึงได้ครอบครัวมาร่วมโครงการเกือบร้อยครอบครัวจากพื้นที่ 5 อำเภอของจังหวัดยโสธร จากการถอดบทเรียนและผลการวิจัยปรากฏว่า บางครอบครัวใช้เวลาแค่เดือนเดียว เด็กก็ติดหนังสือแล้ว บางคนไม่อ่านหนังสือให้ฟังก็ไม่ยอมนอน คือถามว่าเด็กเข้าใจเนื้อหามั้ย ก็คงจะไม่เข้าใจ แต่มันก็มีทฤษฎีทางสมองรองรับว่าช่วงแรกเกิดถึงสามปี เป็นช่วงที่สมองเจริญเติบโตมากที่สุด ถ้าได้รับการกระตุ้นในช่วงนี้มันก็จะมีผลอย่างมากเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การอ่านหนังสือให้เด็กฟังซ้ำๆ บ่อยๆ เป็นประจำ จะเป็นการเพิ่มรอยหยักของสมอง เพิ่มไอคิว เพิ่มอีคิว ทุกอย่างเลย ซึ่งผลที่ได้รับเกือบทุกรายคือเด็กจะมีพัฒนาการที่ชัดเจน มีความจำดีมาก จากเด็กซนก็มีสมาธิมากขึ้น รู้จักการสังเกต มีความละเอียด ซึ่งเป็นผลจากการอ่านหนังสือให้ฟังเป็นประจำของพ่อแม่ผู้ปกครอง และไม่จำเป็นต้องเป็นช่วงก่อนนอน แต่เป็นเวลาที่สะดวก และมีความสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ทุกคนจะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน เพราะระดับของพัฒนาการของเด็กก็มีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งพันธุกรรม สภาพแวดล้อม การเอาใจใส่ของผู้ปกครอง”

เมื่อไปสอบถามผู้ปกครองที่เข้าร่วมโครงการ คำบอกเล่า ก็สอดรับกับคำอธิบายข้างต้น

นวลใย เค็งงอก อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำหลานเข้าร่วมโครงการ เล่าให้ฟังว่า ตนเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แม้ว่าจะต้องทำไร่ทำนาและทำงานบ้าน แต่ก็พยายามจะหาเวลาอ่านหนังสือให้หลานฟังตลอด ซึ่งตอนนี้ หลานสาววัยสามขวบก็เป็นเด็กที่ชอบหนังสือ มีพัฒนาการที่ดี และเป็นตัวอย่างให้ผู้ปกครองคนอื่นๆ เห็นคุณค่าของการอ่านหนังสือให้ลูกหลานฟัง

“ตัวยายเองมีความสนใจเรื่องการอ่านอยู่แล้ว ตอนนั้นลูกสาวก็เพิ่งจะคลอดน้องข้าวฟ่าง(หลานสาว) แล้ว รพสต.หนองคูน้อย มีโครงการเรื่องการอ่าน ยายก็มาเข้าโครงการ คือน้องจะร้องไห้เก่ง แต่พอยายอ่านหนังสือให้ฟังเขาก็จะเงียบ ก็เลยอ่านให้เขาฟังมาตลอด เขาจะชอบให้เราอ่านหนังสือให้ฟัง ก่อนนอนก็ต้องอ่าน ขึ้นรถมาด้วยกันก็ต้องอ่าน เขาจะรู้เลยว่าเล่มไหนเรื่องอะไร ถึงแม้ว่าเขาจะยังอ่านหนังสือไม่ได้ แต่เขาจะดูรูปและเขาจะจำจากที่เราอ่านให้ฟัง คือตัวยายเองก็เป็น อสม.ด้วย ก็เลยพยายามแนะนำเพื่อนๆ ว่าโครงการนี้ดีจริงๆ นะ ตัวยายเองก็ไม่ได้มีเวลา ก็ต้องทำงานบ้าน ทำไร่ทำนาเหมือนคนอื่น เรียนก็จบแค่ ป.6 แต่ก็พยายามหาเวลาอ่านหนังสือให้หลานฟัง ให้คนอื่นเขาได้เห็นว่า เราทุ่มเทเพราะอยากให้หลานเป็นคนดี คนอื่นพอเขาก็ได้เห็นจากน้องข้าวฟ่างว่าเป็นเด็กฉลาดและรักหนังสือ เขาก็จะเข้าใจ เกิดการเปรียบเทียบที่ชัดเจน พอไปเข้าโรงเรียน คุณครูก็จะบอกว่า เขาเป็นเด็กที่ฉลาด หัวไว เข้าสังคมกับครูกับเพื่อนได้ดี ตอนนี้ครอบครัวในชุมชนก็เหลือน้อยมากที่ไม่ได้อ่านหนังสือให้ลูกฟัง”

ด้าน ครรชิต จักรสาร นักวิชาการสาธารณสุข รพสต.สร้างมิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัยและได้นำวิธีการอ่านหนังสือให้เด็กฟังมาใช้กับบุตรสาวคนเล็กของตนเอง เล่าว่า เมื่อก่อนตนเองชอบดูหนังมาก ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย  พอมีลูกคนแรกก็จะเลี้ยงลูกด้วยการดูหนัง เวลาทำงานก็เปิดหนังให้ลูกดู แผ่นหนังที่บ้านมีเป็นร้อยๆ แผ่น พอลูกเข้าอนุบาล ก็พบว่า ลูกเป็นเด็กสมาธิสั้นมาก ทำการบ้านก็จะรีบๆ ลวกๆ ทำให้เสร็จเร็วๆ เพื่อมาดูหนังหรือมาเล่นเกม เมื่อมีลูกคนที่สองจึงตั้งใจว่า จะพยายามให้ลูกเป็นเด็กที่รักการอ่าน

“ลูกคนโตของผม ตอนนั้นเขาไม่อ่านหนังสือเลย เราก็หนักใจ เราจะทำให้เขามาสนใจหนังสือมันก็ยากแล้ว ไม่รู้จะแก้ยังไง ทีนี้ตอนนั้นคนที่สองยังอยู่ในท้อง ก็ตั้งใจว่า จะปลูกฝังเรื่องการอ่านให้คนเล็กนี่แหละ พอเขาคลอดออกมา ผมได้หนังสือมาสามเล่ม ก็เอามาอ่านให้เขาฟังเลย ครั้งแรกที่อ่านหนังสือให้เขาฟัง ตอนนั้นเขายังกินนมอยู่ แฟนผมบอกว่า รู้สึกว่าเขากำลังฟัง เราอ่านจบหน้าเขาก็หยุดดูดนม พอเราพลิกหน้าต่อไป เขาก็เริ่มดูดนมต่อ คือสังเกตได้ชัดเลยว่า เขากำลังฟังเราอ่านหนังสือ พยาบาลเห็นผมอ่านหนังสือให้ลูกฟังก็หัวเราะ แม่ผมก็สงสัยว่า เด็กจะรู้เรื่องได้ยังไง จริงๆ เด็กเขารับรู้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้ว หลังจากนั้นผมก็อ่านมาตลอด อ่านทุกครั้งที่มีเวลา บางเรื่องเราอ่านจนจำได้แล้ว เวลาลูกอาบน้ำแต่งตัวเราก็เล่าไปได้เลย อย่างหนังสือเรื่อง ‘ผลไม้อร่อย’ผมอ่านเป็นสิบๆ รอบ ลูกจะชอบมาก อ่านแล้วอ่านอีก เขาไม่เบื่อที่จะฟัง และเขาจะรับได้แบบไม่มีจำกัด มีอยู่วันหนึ่งผมเคยทำสถิติ อ่านหนังสือให้ลูกฟังไปร้อยกว่าเรื่อง เหนื่อยก็นอน ตื่นมาเราก็อ่านให้เขาฟัง อ่านจนเราเจ็บคอ เขาก็ยังรับได้สบายๆ เขาจะติดหนังสือ และจำแม่นมาก ถ้าพาเข้าไปร้านหนังสือ เขาจะอยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ ตอนนี้เขาเข้าอนุบาลสาม มีพัฒนาการที่ดีกว่าเพื่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด”

ด้านนรรถฐิยา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กิจกรรมส่งเสริมการอ่านของ รพสต.ในช่วงที่ผ่านมา ที่นับเป็นการเริ่มต้นส่งเสริมการอ่านให้แก่ครอบครัว คือการมอบ “กระเช้าหนังสือ” ให้กับมารดาที่เพิ่งจะคลอดบุตรทุกคนพร้อมกับแนะนำวิธีการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง รวมทั้งมีการแจกหนังสือให้เด็กๆ ในบางโอกาส เช่น เมื่อมารับวัคซีนที่ รพสต. ที่สำคัญคือได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อหนังสือจากหลายๆ ส่วน เช่น อบต. โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว จึงนับได้ว่า การสร้างวัฒนธรรมการอ่านในจังหวัดยโสธรกำลังเติบโตอย่างเข้มแข็ง

“ปัญหาสำคัญคือทัศนคติของผู้ปกครอง เพราะช่วงแรกที่ดำเนินโครงการ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะมองว่า เป็นเรื่องไร้สาระที่จะอ่านหนังสือให้เด็กแรกเกิดฟัง เกิดความไม่เชื่อมั่น แต่เมื่อมีการเปิดเวทีชี้แจง เขาก็เข้าใจ นอกจากนี้ ก็มีผู้ปกครองหลายคนอ่านหนังสือไม่ออก อ่านหนังสือไม่คล่อง ซึ่งการแก้ปัญหาก็ได้ให้ อสม.เข้ามาช่วยกระจายหนังสือ นำหนังสือ 20-30 เล่มไปกระจายหมุนเวียนตามหมู่บ้าน และช่วยอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ขณะที่ผู้ปกครองเอง บางคนเมื่ออ่านให้ลูกฟังเป็นประจำ ก็ได้พัฒนาเรื่องการอ่านของตัวเองไปด้วย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เมื่อมีความสนใจในการอ่านมากขึ้น กลับไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่าน เราบอกว่าคนไทยไม่ชอบการอ่าน มันอาจจะไม่ใช่คำตอบ แต่เพราะเขาไม่มีอะไรที่จะอ่านหรือเปล่า” นรรถฐิยา กล่าว

ส่วนครรชิต ยังกล่าวด้วยว่า โมเดลส่งเสริมการอ่านที่ประสบความสำเร็จ ควรจะได้รับการสื่อสารออกไปหลายๆ โมเดล โดยเฉพาะครอบครัวที่มีโอกาสเข้าถึงการอ่านได้น้อยแต่สามารถส่งเสริมการอ่านให้ลูกอย่างได้ผล จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจ สร้างพลังให้ครอบครัวอื่นได้มาก ที่สำคัญคือต้องมีหนังสือที่หลากหลายและเพียงพอ เพราะปัญหาสำคัญคือ เมื่อมีคนอ่านหนังสือมากขึ้น แต่ในชุมชนกลับมีหนังสือน้อยมาก คนจึงเข้าไม่ถึงหนังสือ เมื่อไปดูห้องสมุดประชาชนของอำเภอ ของจังหวัดก็ไม่มีหนังสือที่น่าสนใจ ทำให้ไม่ค่อยมีคนใช้บริการ

“ทุกวันนี้หนังสือราคาแพงมาก หนังสือเด็กบางทีเล่มละ 200-300 บาท มันก็บล็อกคนไม่ให้เข้าถึงหนังสือ ผมคิดว่า ไม่ใช่คนไทยไม่อ่านหนังสือหรอก แต่ไม่มีหนังสือให้เขาอ่านต่างหาก”

ขณะที่ ประเทศไทยมีงานขายหนังสือระดับชาติปีละ 2 ครั้ง และเทศกาลขายหนังสือย่อยๆ อีกปีละหลายครั้ง มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจหนังสือปีละนับหมื่นๆ ล้านบาท จึงดูเหมือนว่า สังคมไทยอ่านหนังสือกันไม่น้อยเลย แต่อีกด้านหนึ่งการส่งเสริมเรื่องการอ่านในระดับ “ยั่งยืน” คือส่งเสริมตั้งแต่เด็กวัย 0-3 ขวบ ในแง่นโยบายแล้วกลับไม่เคยปรากฏในแผนงานระดับชาติใดๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า สังคมในชนบทนั้นจะเข้าถึงหนังสือได้มากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจากการส่งเสริมการอ่านในพื้นที่จังหวัดยโสธร กำลังจะกลายเป็นต้นแบบให้แก่ชุมชนอื่น โดยการเป็นแหล่งเรียนรู้ในโครงการ “ขับเคลื่อนจังหวัดยโสธรสู่จังหวัดน่าอยู่ที่สุด” ด้วยการสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

เมล็ดพันธุ์แห่งการอ่านที่ได้งอกงามแตกกิ่งก้านขึ้นที่ยโสธรในวันนี้ จึงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ “การส่งเสริมการอ่าน” แผ่ขยายไปสู่ที่อื่นๆ เพราะ “ผู้ใหญ่”นั้น อ่อนล้าและคาดหวังได้ยาก เราจึงต้องฝากความหวังไว้ที่ “เด็กๆ” ผู้เต็มไปด้วยศักยภาพที่จะเติบโตและเปลี่ยนแปลงอนาคต

 

 

ที่มา : ปันสุข

Shares:
QR Code :
QR Code