ยิ่งเรียน(คุณภาพชีวิต)ยิ่งแย่
พบเด็กไทยอยู่ในห้องเรียนมากที่สุด ส่งผลให้ทักษะการดำเนินชีวิตน้อยลง เครียด ถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับเปลี่ยนระบบการศึกษา
นายยุทธชัย เฉลิมชัย นักวิจัยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เด็กไทยเป็นชาติที่เด็กถูกบังคับให้เรียนในห้องเรียน โดยใช้ชั่วโมงเรียนในแต่ละวันมากที่สุดในโลก เปรียบเทียบกับเด็กจีนที่มีความเครียดสูง ด้วยประชากรที่เยอะ การแข่งขันจึงมีสูง ก็ยังใช้เวลาเรียนในห้องเรียนในแต่ละวันน้อยกว่าเด็กไทย
ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนที่ไม่ได้เรียนหนังสือต้องออกจากสถานศึกษากลางคันราวประมาณ 9 แสนคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีด้วยสาเหตุที่ต่างกัน เช่น ครอบครัวยากจน ไร้สัญชาติ
แต่มีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่อยากเรียนหนังสือเพราะเบื่อหน่าย ทนรับสภาพความกดดันจากระบบการเรียนการสอนที่เน้นการแข่งขันกันเป็นเลิศทางวิชาการไม่ไหว
วันนี้เด็กนักเรียนในเมืองและชนบทมีความทุกข์จากระบบการศึกษาไม่ต่างกัน คือใช้เวลาเรียนในห้องเรียนมาก แถมต้องเรียนกวดวิชาตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนเกิดความเครียดและเบื่อหน่าย ซึ่งการเปลี่ยนระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยมาเป็นแบบแอดมิชชั่นก็ส่งผลให้เด็กวิ่งเข้าหาโรงเรียนกวดวิชามากขึ้น
นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการเด็กต้องเก่งวิชามาตรฐาน ให้ครูต้องสอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วยภาษาอังกฤษ โดยให้ขยายผลให้ได้ 2,500 โรงเรียนในปีการศึกษาหน้า ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าครูจะสอนกับผู้เรียน จะรับไหวหรือไม่ ยิ่งเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับเด็กมากกว่าเดิม เด็กจำนวนไม่น้อยอยากลุกขึ้นตะโกนบอกว่า
“เขาอึดอัด ทุกข์จากความเครียดกับระบบการศึกษามากเพียงใด”
เปรียบเทียบกับเด็กนักเรียนในจีนยังมีเวลาว่างให้ผ่อนคลายจากการเรียนในแต่ละวัน ดูได้จากตารางเรียนที่เน้นเรียนวิชาการในตอนเช้า และพักกลางวันเวลา 11 โมง
จากนั้นโรงเรียนจะให้เด็กออกนอกโรงเรียนกลับไปกินข้าวที่บ้านหรือไปพักผ่อนถึงบ่าย 2 โมงค่อยกลับมาเรียนใหม่ ซึ่งวิชาในช่วงบ่ายจะเป็นวิชาเบาๆ ไม่เครียด เป็นวิชาที่เน้นพัฒนาทักษะการดำเนินชีวิต ที่พัฒนาคุณภาพของเด็กทางด้านอารมณ์และสังคม
ระบบการศึกษาไทยอาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ ลดจำนวนชั่วโมงเรียนในห้องเรียนลง เพิ่มการเรียนการสอนที่เน้นการใช้ทักษะพัฒนาคุณภาพชีวิตมากขึ้น เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้เรียน ที่สำคัญต้องยกเลิกการเรียนการสอนด้วยวิธีบังคับควบคุมเพราะจะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่กล้าแสดงออก
ครูส่วนใหญ่บอกว่ารักเด็ก แต่กลับไม่เชื่อมั่นในตัวเด็ก เวลาจะทำอะไรต้องคอยควบคุม บังคับให้ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ
ถึงเวลาที่การศึกษาไทยจำเป็นต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเพื่อหนีออกจากความล้มเหลวในปัจจุบัน
การลดเวลาเรียนในห้องเรียนลงและปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนใหม่จะช่วยลดความเครียดของเด็กลงได้
คำพูดที่สรุปภาพของการศึกษาไทยได้อย่างเจ็บแสบว่าเป็นแบบ “ลู่วิ่งเดี่ยวปลายตีบ” เด็กทั้งประเทศเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งที่แข่งขันด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ยิ่งวิ่ง ปลายลู่ยิ่งตีบ เด็กส่วนใหญ่พ่ายแพ้ ต้องหล่นออกจากลู่ (การแข่งขัน)มีน้อยคนเท่านั้นที่วิ่งชนะ
สภาพเช่นนี้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ทุกคน
ถ้าวันนี้ระบบการศึกษาไทยยังไม่เปลี่ยน ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้
“เด็กทั้งประเทศเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งที่แข่งขันด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ยิ่งวิ่ง ปลายลู่ยิ่งตีบเด็กส่วนใหญ่พ่ายแพ้ ต้องหล่นออกจากลู่ (การแข่งขัน)มีน้อยคนเท่านั้นที่วิ่งชนะ”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
update:06-07-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่