ยกระดับการเรียนรู้ สร้างโอกาสในชนบทห่างไกล

ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)


ภาพประกอบจากเว็บไซต์สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)


ยกระดับการเรียนรู้ สร้างโอกาสในชนบทห่างไกล thaihealth


สสค. ร่วมจัดประชุมบทบาทคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ รร.ขนาดกลางขยายโอกาสในชนบทห่างไกล


เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้องประชุม 201 ชั้น 2 ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดการประชุมบทบาทคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดในการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนมัธยมขยายโอกาส เพื่อนำไปสู่กระบวนการพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง (Continuous School Improvement: CSI) 


รศ.นพ.กำจร ตติยกวี กำจร ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ประธานในพิธีกล่าวว่า ตัวอย่างการทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพต่อเนื่องในประเทศไทยที่เห็นผลชัดเจนคือ ภาคสาธารณสุขที่ใช้มาตรการ “การพัฒนาตามด้วยรับรองคุณภาพ” ของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์กรมหาชน) หรือ สรพ. เข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานคุณภาพของโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนมากกว่า 18 ปี ซึ่งตนเองได้มีประสบการณ์ตรงในการพัฒนาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เมื่อหลายปีก่อน 


ยกระดับการเรียนรู้ สร้างโอกาสในชนบทห่างไกล thaihealthรศ.นพ.กำจร กล่าวอีกว่าจึงมีความมั่นใจ และยินดีที่ สกว.และสสค.ร่วมกันพัฒนาแนวทางดังกล่าวให้สามารถนำมาทดลองประยุกย์ใช้กับกรณีโรงเรียนขนาดกลางขยายโอกาส “กศจ.จะเป็นกลไกระดับพื้นที่ที่จะขับเคลื่อน จึงเป็นที่มาของโจทย์วิจัยว่าอะไรเป็น Best Practices ฉะนั้นจึงอยากได้หน่วยงานอิสระที่ไม่ขึ้นกับกระทรวงศึกษาลงไปช่วยพัฒนาในพื้นที่ผลักดันให้เกิดคุณภาพ อาจต้องดูว่าโรงเรียนขนาดเล็กจะดูแลกันอย่างไร ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ต้องให้จังหวัดเป็นผู้สะท้อน เพราะจังหวัดรู้ดีว่าจะจัดการอย่างไร และต้องหาคนช่วยคิด เช่น โรงเรียนขนาดเล็กดีไม่พอหลายโรงเรียน ทำอย่างไรด้านการประเมินจะได้ชัดกว่านี้ ขณะนี้จึงเป็นการสร้างระบบมอนิเตอร์ของประเทศทีละจังหวัดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน จึงอยากฝากในเรื่องการพัฒนาการศึกษาระดับจังหวัด ท่านที่ไม่ได้เป็น กศจ.ไม่ใช่ไม่มีบทบาท ภาคีทั้งหลายสามารถสื่อสารไปที่ กศจ.เพื่อเสนอสิ่งที่จังหวัดท่านต้องการได้ เช่น ภูเก็ตที่ได้ขับเคลื่อนแล้ว หรือบางจังหวัดอาจใช้สมัชชาการศึกษาเสนอตัวมานั่งใน กศจ.บ้าง เช่น เราให้นโยบายกศจ.ว่าอยากเห็นการเกลี่ยอัตรากำลังจังหวัดที่มีครูเกิน ครูขาด อดีตที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าตัดสินใจ สิ่งที่จะเดินต่อไปคือการกำกับติดตามประเมินผลและทำวิจัย ขณะนี้มี สสค. สกว.มาช่วยในจุดต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คิดว่าการขับเคลื่อนกศจ.จะเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาไทยซึ่งไม่มีทางเห็นผลใน 1 ปี แต่ใน 10 ปี คุณภาพการศึกษาต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”


รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า โครงการการพัฒนาระบบพัฒนาและประกันคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาขยายโอกาสจะเริ่มดำเนินงานในรูปแบบของโครงการพัฒนาโรงเรียนร่วมกับการวิจัยปฏิบัติการ (Development & Action Research) ระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสกว.และสสค. คาดว่าจะเริ่มต้นราวกลางปี 2559 นี้ เป้าหมายการดำเนินงานจำนวน 10-15 จังหวัดๆ ละ 20-30 โรงเรียน โดยเป็นโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสในชนบทที่มีจำนวนนักเรียนประมาณ 200-300 คน 


อาจารย์นคร ตังคะพิภพ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสค. ในฐานะผู้อำนวยการเชี่ยวชาญพิเศษ ระดับ 10 คนแรกของประเทศไทย กล่าวว่า เป้าหมายของ สสค.คือการสร้างวงจรคุณภาพของสถานศึกษาที่บริหารจัดการด้วยตนเองโดยอาศัยการมีส่วนร่วม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่โรงเรียนขนาดกลางขยายโอกาสที่มีความตื่นตัว โดยไม่จำเป็นต้องมีผลงานในอดีตดีเด่นแต่ประการใด แต่เป็นโรงเรียนที่ผู้บริหารและคณะบุคลากรมีความสมัครใจที่จะร่วมกันพัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้น โดยอาจมีของมติคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดเห็นชอบที่จะให้โรงเรียนตามบัญชีรายชื่อเข้าร่วมโครงการ การออกแบบโครงการวิจัยปฏิบัติการอาศัยการประมวลทบทวนสถานการณ์ ความรู้เชิงระบบ และการรับฟังความเห็นจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะศึกษาธิการจังหวัดและผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียนมัธยมขยายโอกาสร่วมกันต่อไป


ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ธนาคารโลก กล่าวถึงผลการศึกษาว่า สถานการณ์ในประเทศไทยพบนักเรียนในเขตชนบทมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ตามหลังนักเรียนชั้นปีเดียวกันในยกระดับการเรียนรู้ สร้างโอกาสในชนบทห่างไกล thaihealthโรงเรียนเขตเมืองเทียบได้ประมาณ 2-3 ปีการศึกษาอีกทั้งแนวโน้มช่องว่างดังกล่าวกำลังเพิ่มมากยิ่งขึ้น “ปัญหาเด็กไทยในชนบทที่พบคือมี รร.ขนาดเล็กสูงถึง 85% ซึ่งหากไม่ทำอะไร ก็จะเกิดโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มและคุณภาพจะลดลง เพราะอัตราการเกิดน้อยลง จึงต้องมีการยกระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดกลางจำนวน 4,514 แห่งทั่วประเทศให้ดีขึ้น หากทำให้ดีจะเป็นที่พึ่งของ รร.ทั่วประเทศได้ ข้อเสนอเวิร์ลคแบงค์ที่ทดลองแล้วเห็นผล เช่น เวียดนาม มาเลเซีย ใช้โมเดลให้แต่ละชุมชนตั้งหลักได้ด้วยตัวเองผ่านการสร้าง “รร.ศูนย์กลาง” คือ รร.ที่มีโอกาสที่จะขยายใหญ่ โดยมีโจทย์สำคัญที่ว่า ต้องมีทรัพยากรเข้าไปให้ รร.ศูนย์กลางมากขึ้น และจะทำอย่างไรให้ รร.ดังกล่าวนี้มีคุณภาพสูงขึ้น 


“ซึ่งจากประสบการณ์การใช้ข้อมูลเพื่อยกระดับคุณภาพและการบริหารสถานศึกษาว่า ประเทศเวียดนามและกัมพูชาต่างมีระบบสารสนเทศด้านการศึกษาที่ก้าวหน้ากว่าประเทศไทยมาก ทำให้ทั้ง 2 ประเทศสามารถใช้ข้อมูลเป็นตัวชี้เป้าในการบริหารทรัพยากร โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันใช้เงินลงทุนด้านการศึกษาเฉลี่ยรายหัวต่ำกว่าไทย แต่ผลสัมฤทธิ์กลับดีกว่า ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี เวียดนามสามารถไต่อันดับคะแนนพิซาได้สูงถึงลำดับที่ 17 สูงกว่าประเทศไทยถึง 33 อันดับ ขณะที่มาเลเซียใช้ข้อมูลในการออกแบบพิมพ์เขียวการศึกษาแห่งชาติปี 2013-2025 เพื่อสนับสนุนให้ประเทศมาเลเชียก้าวออกจากกับดักรายได้ขั้นกลางได้ภายในเวลา 15 ปี ส่วนบราซิลใช้ระบบข้อมูลเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาการศึกษาด้วยการนำเสนอรายงานผลการศึกษาของโรงเรียน (School Report Card) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐาน อาทิ ผลสัมฤทธิ์ การเข้าห้องเรียน อัตราส่วนครูต่อนักเรียน เศรษฐสถานะของผู้เรียน และระดับการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง” ดร.ดิลกะ เผย

Shares:
QR Code :
QR Code