ยกระดับการบังคับใช้กฎหมายเมาแล้วขับ
นักดื่มหน้าใหม่อายุน้อยขึ้น
มาต่อการประชุมวิชาการเรื่องยกระดับการบังคับใช้กฎหมายเมาแล้วขับให้มีประสิทธิภาพ
คุณสุรสิทธิ์ ศิลปงาม ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่าธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เติบโตอย่างรวดเร็วในไทย แต่การบังคับใช้กฎหมายเมาแล้วขับยังไม่ต่อเนื่อง คนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักคิดว่าเมาแล้วขับไม่ใช่เรื่องอันตราย ขณะที่บทลงโทษก็ยังไม่รุนแรงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เริ่มเปิดเสรีการค้า จะทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากเพื่อนบ้านหลั่งไหลเข้ามาและมีราคาถูกลง อาจส่งผลให้คนไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น
คุณสงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า ไทยเก็บภาษีจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ปีละประมาณ 9 หมื่นล้านบาท แต่จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าไทยต้องสูญเสียรายได้ให้กับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตกประมาณปีละ 4 แสนล้านบาท โดย 2 แสนล้านบาทได้จากผู้ที่ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ส่วนอีก 2 แสนล้านบาท ได้จากภาษีของประชาชนที่รัฐบาลนำไปใช้เยียวยาความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ นอกจากนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วง พบว่า อายุเฉลี่ยของนักดื่มหน้าใหม่เริ่มลดลงจากเดิมที่เป็นนักเรียน นักศึกษาระดับมัธยมศึกษา แต่ปัจจุบันพบว่านักเรียนในระดับประถมศึกษาก็เริ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นแล้ว
ขณะที่ พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ เจริญจิตร รองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 กล่าวว่า สถานบันเทิง ร้านอาหาร ที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น เปิด ปิด ตามเวลา ทั้งนี้ที่ญี่ปุ่นหากลูกค้าเมามาก ขาดสติ ผู้ประกอบการจะจัดสถานที่ให้พักฟื้นก่อนจะไปขับขี่ แต่บ้านเรายังไม่มี ผู้ประกอบการยังขาดความรับผิดชอบต่อลูกค้า ผู้ที่ต้องดูแลรับผิดชอบจึงต้องเป็นตำรวจ
การแก้ปัญหาเมาแล้วขับ ตำรวจต้องเพิ่มการตั้งด่านใกล้สถานบันเทิงมากขึ้น ประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือ ให้มองว่าตำรวจกำลังช่วยปกป้องชีวิต อย่างไรก็ตามการเพิ่มโทษผู้กระทำความผิดซ้ำ จะต้องเพิ่มให้หนักขึ้น ควบคู่กับการปรับปรุงพัฒนาระบบการสืบค้นข้อมูลย้อนหลังให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน
คุณภัทรพันธุ์ กฤษณา ตัวแทนจากเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กล่าวว่า การที่ถูกตำรวจเรียกตรวจและลงโทษปรับ กักขังควรจะดีใจ และถือว่าโชคดีที่ถูกเรียก ก่อนที่จะไปเกิดอุบัติเหตุหรือพิการ ซึ่งเป็นความสูญเสียอย่างมหาศาล เป็นผลที่ทุกคนไม่อยากจะประสบ
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
update: 05-01-53
อัพเดทเนื้อหาโดย:อภิชัย วรสิทธิ์ขจร