ม.นเรศวรต้นแบบ’อบอุ่น-ปลอดเหล้า’
รับน้องสร้างสรรค์
นับตั้งแต่มหาวิทยาลัยนเรศวรขับเคลื่อนโครงการรับน้องปลอดเหล้ามา 4 ปี ทำให้ปัญหารับน้องรุนแรงลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะกิจกรรมรับน้องที่แท้จริงทำให้เกิดความปรองดอง รักและสามัคคี ส่วนเหล้า-เบียร์ และยาเสพติดนั้นคือพฤติกรรมและค่านิยมผิดๆ ซึ่งมาเกี่ยวข้องกับการรับน้องในยุค หลังๆ
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมรับน้องที่สร้างสรรค์ ที่ให้ทั้งความอบอุ่นและปราศจากความรุนแรงของ ม.นเรศวร จึงเป็นภาพความงดงามที่เกิดขึ้นได้อย่างลงตัวและเหมาะสมที่สุด ซึ่งกิจกรรมในลักษณะนี้ควรได้รับการส่งเสริมให้เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาต่างๆ โดยในปีนี้ยังเดินหน้าจัดกิจกรรมรับน้องปลอดเหล้า และมีการมอบรางวัล “ห้องเชียร์ต้นแบบ” แก่คณะที่สามารถจัดกิจกรรมเชียร์ได้ดีเด่น
จึงนับได้ว่า นอกจาก ม.นเรศวร จะเป็นสถานศึกษาปลอดเหล้าแห่งภาคเหนือตอนล่างแล้ว ยังเป็นต้นแบบการจัดกิจกรรมที่เล็งเห็นความสำคัญของพิษภัยของสุราและบุหรี่เป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นยังเปิดโอกาสให้ทุกสถาบันอื่นๆ ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างกว้างขวาง หวังสร้างเครือข่ายพลังคนรุ่นใหม่ด้วยกัน
กรองทอง ผักใหม ประธานคณะกรรมการดูแลการรับน้องและประชุมเชียร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก กล่าวว่า การจัดกิจกรรมรับน้องเน้นปราศจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด 100% นอกจากนี้ยังปฏิบัติตามกฎระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รวมถึงประกาศของมหาวิทยาลัยอย่างเคร่งครัด และคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของน้องใหม่ โดยปีนี้ไม่อนุญาตให้รับน้องนอกสถานที่ ส่วนสถานที่รับน้องในมหาวิทยาลัยต้องปลอดเหล้า มีการอบรมผู้นำเชียร์ ผู้นำเทคนิคเชียร์ ผู้นำเชียร์ลีดเดอร์ ผู้นำฝ่ายวินัย ผู้นำพยาบาล เพื่อร่างข้อตกลงร่วมกันป้องกันการฝ่าฝืนหรือกระทำรุนแรง ทำให้ปัญหารับร้องรุนแรงลดลงและหมดไปในที่สุด
“จากเดิมรุ่นพี่รับน้องโหด กดดันรุ่นน้อง ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมให้สร้างสรรค์ โดยเฉพาะห้องเชียร์ คณะกรรมการฯ เข้าไปดูแลและสอดส่องเพื่อให้กิจกรรมเรียบร้อย 4 ปีมาแล้วที่ทำรับน้องปลอดเหล้า เห็นพัฒนาการของกิจกรรมดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างคณะเกษตรจัดรับน้องภายใต้สโลแกนเก๋ๆ “จะมีกี่ครุยที่ลุยโคลน” เดิมให้น้องลุยโคลน ตากฝน เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาเป็นดำนา ปลูกข้าว หรือห้องเชียร์นานาชาติที่จัดกิจกรรมรับน้องด้วยความสุข ทั้งพี่และน้องทำกิจกรรมร่วมกัน สานสัมพันธ์เหมือนครอบครัวเดียวกัน อบอุ่นยิ่งขึ้นรู้สึกเป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง เดิมที่เคยมีรุ่นพี่โดนสอบวินัยเพราะกระทำรุนแรง สองปีมานี้ไม่มีกรณีเกิดขึ้นเลย” ประธานคณะกรรมการฯ หยิบยกตัวอย่างดีๆ ที่เกิดขึ้นให้ฟัง
และระบุว่า ขณะนี้มีการประกวดห้องเชียร์ต้นแบบ คณะที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจนี้ มั่นใจจะเป็นแบบอย่างของน้องๆ รุ่นต่อไป นำไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติต่อการจัดกิจกรรมรับน้องในปีต่อไป และยังมีรับน้องออนไลน์ทำขึ้นเป็นปีแรก เพื่อให้เพื่อนต่างสถาบันสามารถโหลดดูการรับน้องของเราทางอินเทอร์เน็ต www.sa.nu.ac.th นอกจากนี้ ปีนี้ฉลองครบรอบ 20 ปี ม.นเรศวร เป็นครั้งแรกที่จัดห้องเชียร์รวม เรียกว่า “power sheer” เพื่อให้น้องใหม่ภาคภูมิใจในสถาบัน กิจกรรมเริ่มวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ น้องใหม่กว่า 4,200 คนร่วมกิจกรรมอย่างเหนียวแน่น และจะไม่มีเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้อง
กิจกรรม “ปิดเชียร์ เปิดใจ” ที่ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2550 ถือเป็นอีกตัวอย่างที่ดีจริงๆ เพราะมีการสรุปกิจกรรมรับน้องของแต่ละคณะ พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงข้อดีข้อด้อยซึ่งกันและกัน ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากิจกรรมรับน้อง กรองทองให้ข้อมูลด้วยว่า จากการที่สถาบันเป็นหนึ่งใน u-network จะหยิบยกเรื่องปิดเชียร์ เปิดใจ มาเป็นแบบอย่างการจัดการรับน้องให้เพื่อนๆ จากสถาบันอื่นได้ศึกษาเรียนรู้ หรือแม้แต่ให้คำแนะนำในเรื่องแนวทางทำงาน กิจกรรมจะมีในวันที่ 20-21 สิงหาคม 2553 นี้
นอกจากนี้ ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2553 นี้ จะจัดกิจกรรมปั่นจักรยานรณรงค์ให้ชุมชนรอบสถาบันการศึกษา เห็นถึงความสำคัญของโทษเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลอดจนขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัย ให้ลดการจำหน่ายแอลกอฮอล์แก่นิสิตนักศึกษา นอกจากนักศึกษากว่า 300 คนร่วมขบวนรณรงค์แล้ว ยังมีผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก องค์การบริหารส่วนตำบล ชุมชนละแวกใกล้เคียงมีส่วนร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ กรองทองบอกถึงเป้าหมายการจัดกิจกรรมนี้ว่า อยากให้ชุมชนรอบนอกช่วยเฝ้าระวังการจำหน่ายแอลกอฮอล์แก่นิสิตนักศึกษา และเห็นความสำคัญของกิจกรรมรับน้อง งดจำหน่ายเหล้าในช่วงที่มีกิจกรรม อีกทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย ราชภัฏพิบูลสงคราม ราชภัฏสวนดุสิต วิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร วิทยาลัยพยาบาลพุทธชินราช และเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเราได้ทำกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดกิจกรรมรับน้องด้วยกัน
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update: 02-07-53
อัพเดตเนื้อหา: คมสัน ไชยองค์การ