มูลค่าที่มากกว่า…ผัก

เรื่องราวของคนปลูกผักที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิต ทำให้ผักมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่เห็น

เป็นทางเลือกง่ายๆ ของคนปลูกผัก ซึ่งไม่ใช่แค่ความสุข แต่เป็นการพึ่งพาตนเองในเรื่องระบบอาหาร ดร.จำเนียร วรรัตน์ชัยพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเยอรมันและส่งเสริมให้มีการปลูกผักในหลายพื้นที่ของประเทศไทย 

ดร.จำเนียร บอกว่า ที่พยายามผลักดันให้คนปลูกผักมานานกว่า 15 ปี เพราะเขาเคยชีวิตในต่างแดน ทำให้ได้เรียนรู้วิถีที่มนุษย์สัมพันธ์กับชุมชนด้วยกิจกรรมง่ายๆ คือ ปลูกผัก เขาเองก็ลงมือปลูกผัก ในฤดูหนาวเขาใช้พื้นที่ปลูกผักในห้องน้ำ แต่พอฤดูร้อนก็ย้ายผักสารพัดชนิดออกจากห้องน้ำมาปลูกในพื้นที่ของเพื่อนที่เช่าไว้

“คนที่นั่น ใช้พื้นที่ของโบสถ์ ข้างทางรถไฟ ปลูกผักกินเอง มีความสุขครับ ที่นั่นมีคนปลูกผักมารวมตัวกันในแปลงเล็กๆ เสาร์-อาทิตย์ผมจะลงไปเก็บแอปเปิ้ล พีชบ้าง พืชผักอันไหนที่เพื่อนบ้าน ไม่มีก็แบ่งปันกัน” ดร.จำเนียร เล่าประสบการณ์ตามประสาคนรักธรรมชาติ

ในเวทีแห่งนี้ ทำให้เขานึกถึงรสชาติของแยมทำเอง  เขาเล่าว่า วันหนึ่งอยากกินแยม แต่แยมที่ขาย ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เพราะปนเปื้อนสารพิษและมีรสหวานเกินไป จึงนึกถึงการทำแยมตอนที่อยู่ประเทศเยอรมัน

“แยมที่ผมอยากจะกินไม่มีแล้ว ผมก็เลยทำแยมกินเอง ผมเอาขิงมาทำแยมใช้เงินแค่ 40 บาท ถ้าทำเป็นขวดคงราคาเป็นร้อย” เมื่อคุยถึงกระบวนการทำแยม โดยไม่ใช้สารเคมี ดร.จำเนียร นึกถึงพืชผักบนดอย แล้วเล่าว่า เคยเดินทางไปเยี่ยมชนเผ่า ซึ่งไม่ต่างจากที่หลายคนรู้ว่า คนปลูกผัก ไม่ยอมกินผักที่ปลูก

“ผมเคยถามคนปลูกผักบนดอยว่า ทำไมทิ้งผักไปเฉยๆ เขาบอกว่าถ้าให้หมูกิน หมูก็ตายสิ ดังนั้นผักที่คนกรุงเทพฯกิน มาจากพื้นที่ไกลๆ จากบนดอย เมื่อพ่อค้าคนกลางบอกว่า ต้องการผักสดมากๆ ก็ต้องใช้วิธีการ เพื่อทำให้ผักสด บวกค่าขนส่งอีก แล้วทำไมเราไม่ปลูกผักใกล้บ้าน หน้าบ้าน หลังบ้าน บนหลังคา”

15 ปีกับการสนับสนุนให้มีการปลูกผักในชุมชน และหน่วยงานรัฐ ดร.จำเนียร มองว่า คนเมืองยังปลูกผักไม่มากพอ “การปลูกผักในกรุงเทพฯยังมีพื้นที่ปลูกผักแค่ 3-5 ตารางกิโลเมตรต่อคน ต่างจากกรุงเดลี ประเทศอินเดียใช้พื้นที่ปลูกผัก 32 ตารางกิโลเมตรต่อคน เขามีพื้นที่ปลูกผักในเมืองมานานกว่า 30 ปี”

เพราะได้เห็นเกษตรในเมืองต่างแดนหลายชุมชน เขาจึงพยายามสนับสนุนให้ชุมชนในเมืองไทยปลูกผักกินเอง โดยใช้พื้นที่รกร้างว่างเปล่า ไม่เว้นแม้กระทั่งริมคลอง

“ผมเคยไปอยู่ในทุกเมืองทั่วประเทศ เคยบอกให้นายกเทศมนตรีปลูกผัก ส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย พวกเขาคิดว่าทำแค่เรื่องขยะและน้ำเสียก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องปลูกผัก แต่มีเทศบาลนครเชียงราย, อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช และ อ.โคราช จ.นครราชสีมา อยากทำกิจกรรมปลูกผัก ผมก็ช่วยสนับสนุน อย่างคุณสมชาย นายกเทศมนตรีตำบลเมืองแกลง จ.ระยอง ก็สนใจเรื่องนี้ และเขาทำนาข้าวปลอดสารพิษด้วย

ถ้าเมืองไทยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ผมเอาแนวคิดนี้ไปเผยแพร่ที่ศรีลังกา ผมเอาเจ้าหน้าที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยไปช่วยสนับสนุนการปลูกผัก ปรากฏว่าปลูกผักกันเยอะขึ้น และเดือนหนึ่งสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 300 บาทต่อครอบครัวสำหรับชุมชนที่มีรายได้น้อย”

หากจะมองให้ลึกซึ้งในอีกมิติหนึ่ง การปลูกผักนำไปสู่การพัฒนาเมืองได้ด้วย ดร.จำเนียร บอกว่า การส่งเสริมให้มีการปลูกผักต้องทำควบคู่กับการพัฒนาเมือง อย่าไปคิดว่า เมืองต้องเป็นสถานที่พาณิชย์เท่านั้น ต้องรักษาพื้นที่สีเขียวด้วย

“ไม่ จำเป็นว่าผักดีๆ ต้องมาไกล ผักดีๆ ต้องอยู่ใกล้ๆ ปลูกกินเองได้” ดร.จำเนียร โยงให้เห็นว่าผักที่มาไกล ทั้งราคาสูง ผ่านขั้นตอนการใช้สารเคมีหลายรูปแบบ แล้วทำไมไม่ปลูกผักใกล้บ้าน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องยาก

“ผมจะบอกว่า การปลูกผักมีมูลค่ามากกว่าผัก ยกตัวอย่างในประเทศเกาหลี “กิมจิ” กลายเป็นสินค้าราคาสูงที่คนต่างชาติซื้อหากลับบ้าน ผักส่วนใหญ่ปลูกข้างถนนและในเรือนกระจก เพราะเทศบาลและรัฐสนับสนุนให้ชุมชนปลูกผัก เห็นได้ว่า แม้กระทั่งกิมจิ ก็สามารถพัฒนาเป็นสินค้าส่งออก เพราะมีการปลูกผักทั่วทุกที่”

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาต้องการพัฒนากิมจิ ให้เป็นสินค้ามีคุณภาพ สิ่งที่ไม่อาจปฎิเสธได้เลยคือ การพัฒนาระบบแหล่งน้ำให้สะอาด ดร.จำเนียร บอกว่า หลังจากรัฐสนับสนุนสิ่งเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ได้ตามมา ก็คือ กิมจิที่มีคุณภาพ รวมถึงการประหยัดค่าขนส่ง และระบบนิเวศน์ที่สะอาดไม่มีสารพิษปนเปื้อน

“นั่นเป็นการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในป่า ในเมืองก็มีความหลากหลายทางชีวภาพได้ เป็นพื้นที่สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ด้วย” ดร.จำเนียร เล่าเพื่อให้เห็นว่าสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงได้ด้วยมือเรา

“เหตุนี้แหละครับสำคัญมากในการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เพราะมีการปล่อยก๊าซจากการใช้พลังงาน ในเมืองจำนวนมาก โดยที่พวกเราไม่ได้คำนึงถึงพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพ เราก็ควรทำสิ่งเหล่านี้ในเมืองเพื่อสร้างความหลากหลายทางชีวภาพและพื้นที่สี เขียว ฟอกอากาศให้สะอาด”

เหมือนเช่นที่เขาบอกว่า การปลูกผักได้มากกว่าผัก ไม่ว่าเรื่องความสัมพันธ์ทางสังคม เขายกตัวอย่าง เด็กๆ ในยุคนี้ เห็นข้าว ผัก และเนื้อสัตว์ในจาน แต่ไม่รู้ที่มาที่ไป

“เด็กบางคนไม่รู้หรอกว่าอาหารเหล่านี้มาจากไหน ควายอยู่ที่ไหน ทำไมต้องเอาควายออกไปจากเมือง นาหรือผักอยู่ในเมืองได้ เราต้องคิดแบบบูรณาการ”

ถ้ามองให้ไกล จะเห็นปัญหาการผลิตอาหารในเมืองมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการผลิตอาหาร ในท้องนาที่เรียกว่าชนบท และระบบอาหารข้ามชาติที่มีราคาแพงมากขึ้น

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Shares:
QR Code :
QR Code