มทร.ลาดกระบัง ปลูกต้นกล้าห่างสิ่งมอมเมารอบตัว
จัดตั้งศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่นในสถาบัน
กระแสเด็กนักเรียน นักศึกษา มั่วสุมดื่มสุรา และเสพยาเสพติด ยังคงเป็นปัญหารุงแรง และรื้อรังมายาวนาน จากความคึกคนอง “อยากลอง อยากรู้” โดยเฉพาะในเขตเมือง ที่มีแหล่งยั่วยุมั่วสุมกระจายไปทั่ว อย่าง…ร้านเหล้าปั่น แหล่งมั่วสุมยาเสพติด ร้านเกมออนไลน์ ศูนย์การค้า ที่เด็กนักเรียนมักใช้เป็นแหล่งหนีเรียน
“ร้านเหล้า” อยู่ติดรั้วมหาวิทยาลัยเป็นเหตุแห่ง “อบายมุข” ที่สำคัญ จากการสุ่มสำรวจพื้นที่รอบมหาวิทยาลัย 10 แห่ง ในกรุงเทพฯ เครือข่ายต้านเหล้า พบว่า มีร้านเหล้าขายเหล้าให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี สูงถึงร้อยละ 83.3 สำหรับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลุ่มนิสิตนักศึกษามีถึงร้อยละ60 ร้อยละ 68.6 ดื่มเป็นบางสัปดาห์ แบ่งเป็นชาย ร้อยละ 72.6 และหญิง ร้อยละ 43.9 สำหรับบุคคลที่ดื่มด้วยร้อยละ 93.1 จะเป็นเพื่อนสนิท/เพื่อนบ้าน และจะไปดื่มตามสถานบันเทิงร้อยละ 59.5) รองลงมา คือ ในบ้าน/ที่พัก/ร้านใกล้บ้าน ร้อยละ 51.5 และร้านค้าใกล้ที่ทำงาน/ที่เรียน ร้อยละ 16.8
ขณะที่ข้อมูลผลการสำรวจของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ชี้ว่า ใน 1 ตารางกิโลเมตร จะมีร้านขายเหล้าเฉลี่ยสูงถึง 57 ร้าน และในจำนวนนี้จะมีร้านเหล้าปั่นถึง 5-6 ร้าน และยังพบอีกว่า 1 ใน 4 ของหอพักนักศึกษาจะมีการขายเหล้าอยู่ในนั้นด้วย
จากปัญหา“ร้านเหล้า”อยู่ติดรั้วสถานศึกษาเป็นเหตุแห่ง“อบายมุข”จุด“มั่วสุมที่สำคัญ” นักเรียน นักศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จึงจัดตั้ง“ศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่น“ขึ้น ภายใต้การดำเนินโครงการทูบีนัมเบอร์วัน มีจุดเริ่มจากนักศึกษาเห็นถึงปัญหาการดื่มสุรา และการมั่วสุมเสพยาในกลุ่มเยาวชนวัยรุ่น จึงคิดจะใช้ศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่น เป็นสถานที่รับปรึกษาปัญหา และจัดกิจกรรมรณรงค์ ป้องกันสิ่งมอมเมาในพื้นที่มหาวิทยาลัย และโรงเรียนในเขตลาดกระบัง
“นายเกษมพงศ์ ติ้วเจริญสกุล” ประธานโครงการทูบีนัมเบอร์วันสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เล่าว่า เรามีความคิดที่อยากจะทำอะไร เพื่อตอบแทนสังคม เพราะตอนนี้สังคมเปลี่ยนไปมีแหล่งมอมเมามั่วสุม รวมทั้งสถานบันเทิงต่างๆเพิ่มมากขึ้น ทำให้เด็ก และเยาวชนหันเข้าไปลองเข้าไปเที่ยวกันมาก จนส่งผลกระทบต่อการเรียนการศึกษา การหากิจกรรม หรือหลักสูตรเข้ามาเสริมในมหาวิทยาลัย จึงนับว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งให้นักศึกษาได้มีทางเลือก แทนที่จะหันไปหาสิ่งมอมเมาที่เย้ายวนอยู่รอบรั้วมหาลัย
จึงได้นำความคิดปรึกษากับ มล.ยุพดี ศิริวรรณ ที่ปรึกษาโครงการทูบีนัมเบอร์วัน และได้รับคำแนะนำให้”เปิดศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่นขึ้น” ในสถาบันฯ โดยจะเป็นแหล่งรวมกิจกรรมสร้างสรรค์มากมาย จะเน้นการเปิดให้คำปรึกษาปัญหาทุกข์ทางใจของเพื่อนๆ โดยมีสมาชิกที่ผ่านการอบรมจะเป็นผู้ให้คำปรึกษา ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมรณรงค์ ไม่ให้มีร้านเหล้าในบริเวณสถานศึกษา เช่นการจัดทำสื่อโปสเตอร์รณรงค์ และการเดินรณรงค์ เป็นต้น
“นายเกษมพงศ์” เล่าอีกว่า กิจกรรมที่ทางศูนย์เปิดขึ้นมาพิเศษ คือ การสอนพิเศษให้กับน้องๆ ที่สนใจได้เข้ามาเรียนเสริม เราเชิญอาจารย์ และวิทยากร ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านวิชาการมาเป็นผู้สอน เช่น วิชาเคมี ฟิสิกส์ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาญี่ปุ่น เพื่อยกระดับการศึกษาให้กับเยาวชนให้ได้มีโอกาสได้เรียนพิเศษเหมือนกับคนอื่น โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
นอกจากนี้ยังจะเน้นการรณรงค์ในเรื่องต่างๆ เพื่อเป็นการพัฒนาทั้งความคิด สติปัญญาเพื่อให้ห่างไกลจากสิ่งมอมเมา และยาเสพติด เพราะบริเวณรอบสถาบันนั้นมีร้านจำหน่ายสุราเยอะมาก จึงทำกิจกรรมรณรงค์ ให้ทุกคนเห็นถึงโทษภัยของการดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ เพราะวัยรุ่น ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ได้ง่าย และจะทำให้เสียการเรียนเสียอนาคตได้ และยังมีการให้คำปรึกษาด้านต่างๆ หวังว่าในอนาคตจะช่วยให้นักศึกษาในสถาบัน เยาวชน ประชาชนโดยรอบได้รับประโยชน์และเข้าถึงโครงการทูบีนัมเบอร์วันได้มากที่สุด
ด้าน “น.ส.วันเพ็ญ ทองเรือง” ครูที่ปรึกษากลุ่มดอกไม้จากเตยหอม ภายใต้ศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่นโครงการทูบีนัมเบอร์วันโรงเรียนวัดปลูกศรัทธา เล่าว่า จากเห็นปัญหาวัยรุ่นสมัยนี้มีการมั่วสุมติดยาเสพติดกันมาก จึงพานักเรียนเข้าร่วมศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่น และมีความคิดที่จะหากิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และมีรายได้เสริมด้วย จึงรวมกลุ่มกันนำวัสดุที่มีภายในโรงเรียนมาประดิษฐ์สินค้าออกจำหน่าย โดยมีความคิดที่จะนำเตยหอม ซึ่งเป็นพืชที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีจำนวนมาก พอที่จะนำมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ และสินค้าอื่นๆ ออกขาย ในช่วงแรกๆ ทุกคนไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย แต่เนื่องจากเห็นผู้อื่นทำเป็นเข็มกลัดติดเสื้อ จึงนำตัวอย่างกลับมาศึกษา และหัดทำกันเอง แรกเริ่มถือว่าเป็นการลองผิดลองถูกอยู่พอสมควร
เมื่อเริ่มมีความชำนาญจึงมาสอนให้กับนักเรียน ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 – 6 จำนวน 200 กว่าคน สอนจนเด็กมีความชำนาญ และได้ตั้งกลุ่มกันทำดอกไม้จากเตยหอมออกขายตามงานต่างๆ โดยจะจัดทำเป็นช่อขนาดต่างๆ ช่อดอกไม้ขนาดเล็ก ราคา ช่อละ 10 บาท ช่อกลาง ราคา 50 บาทไปจนถึงช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ มีราคาเป็นหลักร้อยขึ้นไป ส่วนต้นทุนค่ากระดาษจะมีประมาณตั้งแต่หลักสิบ จนถึงหลักร้อยแล้วแต่ชิ้นงาน จากการที่ได้พานักเรียนทำดอกไม้ออกจำหน่ายในงานแสดงสินค้าหลายที่เพียงครึ่งวันเด็กจะมีรายได้ถึง 2,500 บาท และเงินจำนวนนี้เด็กก็จะเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนในอนาคตด้วย
ด.ช.พงศ์ธร พันธุ์แก้ว นักเรียนชั้นป.6 โรงเรียนวัดปลูกศรัทธา เล่าว่า การเข้ามาเป็นสมาชิกทำให้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่างๆ มากมายที่ช่วยให้ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ตอนแรกนั้นร่วมกิจกรรมการเรียนพิเศษกับเพื่อนถือว่ายากมาก เพราะต้องใช้สมาธิสูง และด้วยความที่เป็นเด็ก จึงอยากไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆมากกว่า แต่พี่ๆคอยสอนคอยให้กำลังใจให้รู้จักความอดทน เมื่อฝึกฝนไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีขึ้น และช่วยให้มีสมาธิในการเรียนมากขึ้น และยังมีการสอนประดิษฐ์ดอกไม้จากเตยหอม ถือ เป็นการปลูกฝัง และสืบสานวัฒนธรรมไทย และยังเป็นการสร้างรายได้ช่วยเหลือครอบครัวได้อีกทางหนึ่งด้วย จึงอยากให้เพื่อนๆทุกคนเข้าร่วมโครงการทูบีนัมเบอร์วันเพราะมีกิจกรรมดีๆให้เราทำ และช่วยให้เราห่างไกลจากยาเสพติด
กิจกรรมต่างๆนอกจากจะสามารถตอบสนองความต้องการของเยาวชนอย่างสร้างสรรค์แล้ว ยังได้ช่วยพัฒนาทักษะความสามารถของเยาวชน ตั้งแต่ระดับประถมจนถึงระดับอุดมศึกษา รวมทั้งยังได้สร้างภูมิคุ้มกัน และความเข้มแข็งทางจิตใจ เป็นเกราะป้องกันให้เด็กและเยาวชนไทยห่างไกลจากยาเสพติดได้อย่างถาวร
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
update:26-01-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร