ภาษีบุหรี่ยิ่งเพิ่ม คนตายยิ่งลด

         วันนี้ (16 พฤษภาคม 2557) มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  จัดการแถลงข่าว เรื่อง “บุหรี่: ภาษียิ่งเพิ่ม คนตายยิ่งลด”  เพื่อชูประเด็นและให้เกิดกระแสของการรณรงค์อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก 31  พฤษภาคม 2557 ที่จะถึงนี้


/data/content/24289/cms/e_fmnprsuxy289.jpg


         ดร.โยนาส เท็จเก้น ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย  (Dr.Yonas Tegegn, The WHO Representative to Thailand)  กล่าวว่า  สืบเนื่องจากองค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้ 31 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก  โดยในปี พ.ศ.  2557  นี้  ได้กำหนดประเด็นการรณรงค์ไว้ว่า Raise taxes on tobacco ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ใช้ภาษาไทยว่า “บุหรี่ : ภาษียิ่งเพิ่ม คนตายยิ่งลด”   โดยการรณรงค์ในปีนี้องค์การอนามัยโลกจะเน้นเชิญชวนให้นานาประเทศทั่วโลกเรียกร้องให้รัฐบาลของตนเองขึ้นภาษียาสูบให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น  ซึ่งการบริโภคยาสูบเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ที่สามารถป้องกันได้  การบริโภคยาสูบของประชากรโลกทำให้ผู้คนล้มตายประมาณ 6 ล้านคนในแต่ละปี และมากกว่า 600,000 คน ตายเพราะการได้รับควันบุหรี่มือสอง หากเราละเลยในเรื่องนี้ ในอนาคตไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า ค.ศ. 2030 คาดการณ์ว่าจะมีคนตายจากการสูบบุหรี่ถึง 8 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้ร้อยละ 80 จะเป็นประชากรที่อยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงรายได้ปานกลาง


/data/content/24289/cms/e_fgmsuvx24579.jpg


        นพ.นพพร  ชื่นกลิ่น  รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข  กล่าวว่า  การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยปีละ  50,710  คน  และเป็นสาเหตุของภาระโรคอันดับที่สองของคนไทย  โดยทำให้คนเสียเวลาแห่งชีวิตจากการตายก่อนเวลา  628,061  ปี  และสูญเสียสุขภาวะจากการเจ็บป่วยหนัก 127,184  ปี  ในแต่ละปี  ทำให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วย  52,200  ล้านบาท  ซึ่งคิดเป็น 0.5% ของ GDP


       ด้าน รศ.ดร.อิศรา ศานติศาสน์  คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้นำเสนอผลการวิจัยที่ศึกษาถึงทิศทางระบบภาษีและราคายาสูบในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  บทเรียนสำหรับประเทศไทย   รศ.ดร.อิศรา กล่าวว่า  การที่ประเทศไทยกำหนดราคาขายปลีกบุหรี่ซิกาแรตสูงสุด  ทำให้บริษัทบุหรี่ใช้วิธีแจ้งราคาเท็จที่ต่ำกว่าความจริงในการประเมินภาษี  หรือนำเข้าบุหรี่ที่มีต้นทุนต่ำเข้ามาจำหน่าย  จากการศึกษาระบบภาษียาสูบของประเทศในภูมิภาคอาเซียน  ประเทศอินโดนีเซียใช้วิธีกำหนดราคาขายต่ำสุด  ทำให้บริษัทบุหรี่มีแนวโน้มที่จะขายบุหรี่ในราคาที่สูงขึ้นเพื่อเพิ่มกำไร  ซึ่งก็จะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มมาก


       รศ.ดร.อิศรา  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ในส่วนที่ขณะนี้ประเทศไทยใช้นโยบายสองเลือกหนึ่ง  คือการคำนวณภาษีตามราคาต้นทุนที่บริษัทบุหรี่แจ้ง  หรือคำนวณภาษีตามสภาพ คือ ตามน้ำหนักมวนบุหรี่  หากวิธีคำนวณไหนมีมูลค่าภาษีมากกว่า  ก็ให้เก็บตามวิธีนั้น  ควรจะต้องมีระบบในการปรับอัตราภาษีตามสภาพเป็นระยะ ๆ ทุก ๆ 2-3 ปี และมีการตรวจสอบความถูกต้องของราคาต้นทุนที่บริษัทบุหรี่แจ้งเพื่อประเมินภาษีอยู่เสมอ


/data/content/24289/cms/e_acimpqrsx489.jpg


       ขณะที่  ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์   ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ มหาวิทยาลัยมหิดล  ชี้ว่า การบริโภคยาเส้นในประเทศไทยยังคงเป็นปัญหา เพราะทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์จากโรคที่เกิดจากการบริโภคยาสูบ เกือบครึ่งหนึ่งของความสูญเสียทั้งหมด 6 หมื่นล้านบาท ในขณะที่มาตรการการเก็บภาษียาเส้นที่บริโภคเป็นบุหรี่มวนเองไม่เคยถูกนำมาใช้ จนกระทั่งปี พ.ศ.2555 ซึ่งมีการปรับขึ้นจากอัตรา 1 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 10 บาทต่อกิโลกรัม พบว่าให้ผลดีในการลดจำนวนผู้บริโภคบุหรี่มวนเองในประเทศไทย กว่า 1 ล้านคน คือจากผู้บริโภคบุหรี่มวนเอง 5.3 ล้านคนในปี พ.ศ. 2554 ลดเป็น 3.6 ล้านคนในปี พ.ศ.2556 แต่บางคนหันไปบริโภคบุหรี่ซองราคาถูกแทน ทั้งนี้ผลที่เกิดขึ้นมาจากมาตรการอื่น ๆ ที่ สสส. กระทรวงสาธารณสุข และ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ดำเนินการระหว่างปี 2554-2556 ร่วมด้วย อาทิ เช่น การโฆษณาทางโทรทัศน์เรื่องยาเส้นตายเท่ากับบุหรี่ซอง และมาตรการชุมชนปลอดบุหรี่ เป็นต้น


       ดังนั้นการดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสุขภาพ ควรปรับปรุงภาษีกับผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท รวมถึงยาเส้น โดยปรับขึ้นทั้งอัตราตามสภาพและอัตราตามปริมาณ เพื่อลดการเปลี่ยนประเภทไปบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกกว่า นอกจากนี้รัฐบาลควรนำยาสูบพันธุ์พื้นเมืองเข้าสู่ระบบภาษีอย่างเร่งด่วน โดยให้ผู้ประกอบการยาเส้นเป็นผู้เสียภาษี ไม่ให้เป็นภาระกับเกษตรกร


       ศ.นพ.ประกิต  วาทีสาธกกิจ  เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวทิ้งท้ายว่า  ความพยายามของบริษัทบุหรี่ในการยับยั้งการขึ้นภาษียาสูบนับวันยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น  ขณะนี้ บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส กำลังแคมเปญเพื่อไม่ให้รัฐบาลขึ้นภาษีบุหรี่ โดยสนับสนุนให้มีการทำวิจัยถึงปริมาณบุหรี่หนีภาษีในเอเชียแปซิฟิกรวมทั้งประเทศไทยว่ามีอัตราบุหรี่หนีภาษีสูงโดยโทษว่ามีการเก็บภาษีสูงเกินไป รวมทั้งแสดงรายละเอียดโครงสร้างภาษีบุหรี่ไทยผ่านเฟซบุค “ชมรมผู้สูบบุหรี่ไทย หรือ ชมรมคนสูบบุหรี่" (Thai Smokers Community, www.facebook.com/thaismokers)  เชิญชวนให้ผู้สูบบุหรี่ไทยแสดงความคิดเห็นคัดค้านการขึ้นภาษี จึงอยากให้กระทรวงการคลังรู้ทันกลยุทธ์ของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส และควรขึ้นภาษีบุหรี่  เนื่องจากการขึ้นภาษีครั้งสุดท้ายผ่านไป 2 ปีและผลการขึ้นภาษีได้จบไปแล้ว


 


 


       ที่มา: สำนักข่าวสร้างสุข

Shares:
QR Code :
QR Code