ภาพรวมแรงงานไทยปี 2553
ประเทศประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ
นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ประเทศประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลก ทำให้เรื่องการว่างงานเป็นที่สนใจของสังคม ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจภาวการณ์มีงานทำ พบว่าอัตราการว่างงานของแรงงานไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1-2 ของกำลังแรงงานมาตั้งแต่ปี 2549-ถึงกลางปี 2552 ถือว่าเป็นอัตราต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ที่มีอัตราว่างงานเฉลี่ยในปี 2551 ร้อยละ 5.7
รศ.ดร.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา รองอธิการบดีฝ่ายความร่วมมือและเครือข่าย และอาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม(วปส.) มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดเผยว่า วปส.ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดทำรายงานสุขภาพคนไทยปี 2553 เรื่อง “วิกฤตทุนนิยม สังคมมีโอกาส”ในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี จึงได้ทำดัชนีชี้วัดทางสุขภาพของแรงงานไทย 12 ด้าน ซึ่งครอบคลุมทั้งสุขภาพ กาย ใจ คุณภาพชีวิต การเงิน ความปลอดภัย เป็นต้น จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ปัจจุบันมีประชากรวัยแรงงานกว่า 42.6 ล้านคน คิดเป็น 67.4% ของประชากรทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างเอกชน38% รองลงมาคือ ทำงานส่วนตัว 32% ธุรกิจครอบครัว 18% ลูกจ้างรัฐ 9% และนายจ้าง 3%ภาคอีสานมีแรงงานมากที่สุด 32% รองลงมาคือภาคกลาง 25% และอยู่ในกรุงเทพฯ น้อยที่สุดคือ 11%
รศ.ดร.ชื่นฤทัย กล่าวต่อว่า คุณภาพชีวิตของแรงงานไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อัตราการว่างงานของแรงงานไทยลดลง อยู่ที่ 2%ของแรงงานทั้งหมด และมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้นจากปี 2542 ที่มีแรงงานจบระดับอุดมศึกษา 10% เพิ่มเป็น 16% ในปี 2552 ส่งผลให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนละ 21,139 บาทต่อเดือนแต่กลับมีภาวะหนี้สินโดยรวมอยู่ที่ 133,328 บาทต่อครัวเรือนยิ่งมีรายได้สูงยิ่งเป็นหนี้สูงขึ้นตามไปด้วย โดยแรงงาน ในภาคการไฟฟ้า ก๊าซ การประปา มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยสูงสุด ราวเดือนละ 60,875บาทรองลงมาเป็นด้านการเงิน ประกันภัย กองทุนบำเหน็จบำนาญ มีรายได้เฉลี่ย เดือนละ 57,936 บาท ขณะที่ภาคเกษตรกรรม มีรายได้ต่ำที่สุด เฉลี่ยเดือนละ 14,653 บาท
รศ.ดร.ชื่นฤทัย กล่าวอีกว่า เมื่อสำรวจด้านสุขภาพ โดยแบ่งแรงงานไทยเป็น 2 กลุ่ม คือ1.กลุ่มอายุ 15-29 ปี พบว่า สาเหตุของการเจ็บป่วย คือ อุบัติเหตุ โรคทางจิตเวช และเอดส์ 2.กลุ่มอายุ 30-59 ปี พบว่ามีความเปลี่ยนแปลง คือ ในผู้ชาย อุบัติเหตุและโรคทางจิตเวช จะลดลงเกือบครึ่ง แต่ป่วยด้วยโรคมะเร็งมากขึ้น ส่วนแรงงานหญิง กลับป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุดส่วนโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพ พบว่า การเจ็บป่วยที่เกิดจากสารพิษกำจัดศัตรูพืชมีสัดส่วนสูงถึง 80% รองลงมาคือ โรคพิษจากสารปิโตรเคมี 8% โรคปอดจากการประกอบอาชีพ 6% โรคพิษจากแก๊สและสารระเหย 3% และโรคพิษจากสารหนู แมงกานีส แคดเมียม ปรอท 2% โรคจากสารตะกั่ว 1%
“ปัญหาที่คุกคามสุขภาพแรงงานไทยทั้งชายและหญิง ในทุกช่วงอายุ คือ โรคเอดส์ และเริ่มมีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น จากผลสำรวจเอแบคโพลที่พบว่า 1 ใน 10 ของแรงงานเคยคิดฆ่าตัวตาย เนื่องมาจากคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี อาชีพรับจ้างทั่วไปจะมีสุขภาพจิตต่ำกว่าอาชีพอื่น เพราะไม่มีความมั่นคงในชีวิต ส่วนข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ มีสุขภาพจิตดีที่สุด” รศ.ดร.ชื่นฤทัย กล่าว
ด้านนางเบญจมาภรณ์ จันทรพัฒน์ผอ.สำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพและบริการสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ขณะนี้แรงงานไทย 2 ใน 3 เป็นแรงงานนอกระบบ อยู่ในภาคการเกษตร ประมง บริการ หัตถกรรม ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับ และไม่มีการคุ้มครองสวัสดิการทั้งสุขภาพและรายได้ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจเมื่อปี 2551 พบว่า แรงงานนอกระบบมีอัตราการได้รับการบาดเจ็บเนื่องจากการทำงาน174 ต่อ 1,000 ประชากร สูงกว่าแรงงานในระบบ 1.64 เท่า และ 2 ใน 5 ของแรงงานนอกระบบต้องทำงาน 50 ชั่วโมงขึ้นไปต่อ 1 สัปดาห์ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ เห็นได้จากปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการทำงานเกิดในกลุ่มแรงงานนอกระบบมากกว่า ทั้งนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาและให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่จะนำมาสู่คุณภาพแรงงานในที่สุด
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
Update: 03-05-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร