ภาคเอกชน 70% ยังเชื่อมั่นปฏิรูปประเทศไทย
พร้อมทำธุรกิจ มุ่งเน้นเพื่อสังคม-สิ่งแวดล้อม
สสส.เสนอ “ธุรกิจสายพันธุ์ใหม่” เผยเตรียมชงครม.อนุมัติโรดแมป เชื่อมภาคธุรกิจ-ประชาสังคม-รัฐ “อภิสิทธิ์” วอนภาคธุรกิจร่วมปฏิรูป หยุดคอรัปชั่น
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค สถาบันออกแบบนวัตกรรมและลงทุนเพื่อสังคม(Change Fusion) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จัดงานเวทีความร่วมมือ ธุรกิจเพื่อสังคม : พลังขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย
โดยภายในงานมีการรายงานผลการสำรวจความคาดหวังจากภาคเอกชน ในการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาล ของศูนย์วิจัยความสุข สำนักเอแบคโพลล์ ที่สำรวจวันที่ 28 มิ.ย – 4 ก.ค. 2553 ในกลุ่ม ผู้บริหารและตัวแทนจากบริษัทเอกชน 5 จังหวัด กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น และสงขลา จำนวน 1,292 คน พบว่า ภาคเอกชน 43.1%เชื่อมั่นแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลระดับปานกลาง อีก27% ค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นระดับสูง ส่วน 17.4% อยู่ในระดับไม่ค่อยเชื่อมั่น มีเพียง 12.5% ที่ไม่เชื่อมั่น โดยสิ่งที่หวังว่าหากปฏิรูปแล้วจะเกิดขึ้นมากที่สุดคือ ส่งเสริมให้ผลประกอบการดีขึ้น 72.7% ส่งเสริมบรรยากาศการลงทุน 68.8% มั่นใจเรื่องความปลอดภัยจากเหตุก่อการร้าย วินาศกรรม มีโครงสร้างภาษีเหมาะแก่การลงทุน 62.2% ลดคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ 61.8% แรงงานมีศักยภาพสูง 54.2% และมีเพียง 5.5% ที่ไม่คาดหวังใดๆ
กลุ่มตัวอย่าง 54.1% จะปรับการดำเนินธุรกิจหลังการปฏิรูป โดยให้ความสำคัญด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ส่วน 35.8% ไม่ปรับเปลี่ยน เพราะให้ความสำคัญกับสังคม สิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว มีเพียง 10.1% ที่จะยังมุ่งเน้นความสำคัญเฉพาะการทำธุรกิจของตน ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า ภาคเอกชนควรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทยมากที่สุด ด้วยการเพิ่มสวัสดิภาพและสวัสดิการให้แก่พนักงานอย่างเหมาะสม 70.7% คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม 69.1% และเปิดเผยข้อมูลแก่สาธารณชนอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ 64.2%
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ภาคธุรกิจ: พลังหลักขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย” ว่า ในสภาวะปัจจุบันรัฐบาลมองการบริหารงานเพื่อกำหนดทิศทางของประเทศ โดยมุ่งเน้นภารกิจสำคัญในเรื่องการฟื้นฟูและการปฏิรูปประเทศเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง สงบสุข และความมั่นคงในการพัฒนาประเทศต่อไป ภารกิจฟื้นฟูและปฏิรูปที่จะเดินหน้าไปนั้น รัฐบาลยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐบาลไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ลำพัง สิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ ท้องถิ่น หรือภาคประชาชน รัฐบาลได้วางกลไกให้ทุกสิ่งเป็นจริงได้ โดยให้ความอิสระเพื่อขับคลื่อนไปสู่เป้าหมายการปฏิรูป
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมามีเสียงเรียกร้องจากธุรกิจว่าต้องการการเมืองที่นิ่งและความสงบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครเรียกร้องการเมืองที่นิ่ง สังคมที่สงบได้ ทุกคนต้องร่วมกันสร้าง แทนการตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้สังคมจะสงบ เพื่อส่งเสริมธุรกิจ ต้องถามว่าธุรกิจจะทำอย่างไรเพื่อสร้างเสริมสังคม นี้คือโจทย์ใหญ่ที่สุด ถ้ามองในแง่การปฏิรูป ความสำเร็จอยู่ที่การดึงคนทุกภาคส่วนมาร่วมขบวนการ ซึ่งภาคธุรกิจเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนสังคมเป็นหลัก รัฐบาลไม่มีเงินของตนเอง แต่เกิดจากภาษีจากธุรกิจและประชาชน การกล่าวเช่นนี้ไม่ใช่การปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่เราต้องเข้าถึงแก่นการทำงานของแต่ละฝ่าย
“ผมขอเรียกร้องให้ภาคธุรกิจทำอะไรเพื่อสร้างสังคมที่ดี เป็นการย้ำเตือนว่าภาคธุรกิจไม่สามารถแยกส่วนจากสังคมได้ โดยขอให้ภาคธุรกิจดำเนินการเริ่มตั้งแต่ระดับที่หนึ่งคือการทำตามกฎหมาย ระดับที่สองรับผิดชอบต่อสังคม ระดับที่สามการทำกิจการเพื่อสังคม ซึ่งวันนี้ภาคธุรกิจมีกี่เปอร์เซนต์ที่มีกิจกรรมรับผิดชอบต่อสังคมมากแค่ไหนทำตามกฎหมายหรือไม่ และที่ละเลยกฎหมายมีส่วนสร้างปัญหามากน้อยเพียงใด เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพรวม” นายกฯ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยต้องทบทวนแนวคิดการดำเนินธุรกิจใหม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นเศรษฐกิจเชิงคุณภาพโดยคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ 1.ค่าแรง 2.สภาพแวดล้อม 3.ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นกำลังกัดกร่อนระบบการเมือง สร้างความขัดแย้ง ตนอยากเห็นการรวมตัวของภาคธุรกิจไทยรวมตัวกันโดยไม่ติดสินบนทำธุรกิจอย่างสุจริต ไม่ใช่การร่วมกันฮั้ว และร่วมตัวต่อต้านธุรกิจที่ไม่เดินตามแนวทางนี้ ไทยต้องก้าวสู่จุดนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นการคืนกำไรทางสังคมจะไม่อาจชดเชยความเสียหายได้
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ภาคธุรกิจควรเดินหน้าแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ ที่เชื่อมโยงภาคสังคม สิ่งแวดล้อม ร่วมอยู่ในแผนบริหารธุรกิจ ที่เรียกว่า กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) หรือธุรกิจสายพันธุ์ใหม่ที่ทำงานเพื่อสังคม ซึ่งนานาชาติให้ความสนใจ โดยเฉพาะอังกฤษ มีการจัดตั้ง Office of The Third Sector เป็นองค์กรอิสระสนับสนุนและส่งเสริมกิจการเพื่อสังคม จนมีกิจการเพื่อสังคมมากกว่า 62,000 ราย สร้างรายได้กว่า 24,000 ล้านปอนด์ มากกว่าธุรกิจที่มุ่งกำไรอย่างเดียวถึง 28% โดยทุกธุรกิจสามารถทำได้ สำหรับไทยมีการเริ่มต้นธุรกิจสายพันธุ์ใหม่สร้างรายได้ปีละประมาณ 1 พันล้านบาท และน่ายินดีว่ารัฐบาลไทยเห็นความสำคัญ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะเสนอแผนแม่บทพัฒนากิจการเพื่อสังคมเข้าสู่ ครม. โดยมีเป้าหมายให้มีธุรกิจสายพันธุ์ใหม่เติบโตขึ้นปีละ 20% ภายใน 5 ปี เติบโตขึ้น 100%
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานมูลนิธิหัวใจอาสา กล่าวว่า การปฏิรูประเทศต้องมองในหลายมิติของประเทศ คือ ภาคสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองจะต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะภาคธุรกิจต้องปฏิรูปทั้งวิธีคิดและวิธีทำ จากธุรกิจเพื่อธุรกิจ เป็นธุรกิจเพื่อสังคม และในการทำงานต้องประสานความร่วมมือกับภาคอื่นๆ กระจายการทำงานไปยังจังหวัดและสร้างความร่วมมือกับชุมชนและท้องถิ่นให้เกิดเป็นเครือข่ายพหุภาคีเพื่อขับเคลื่อนปฏิรูปในระดับจังหวัด โดยมีประชาชนเป็นแกนหลักสำคัญในการดำเนินการ
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานสมาคมธนาคารไทย ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจการเงินช่วงที่ผ่านมาทุกประเทศได้สร้างทั้งสุขและทุกข์ให้สังคม โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรจึงจะลดทุกข์และเพิ่มสุขได้ แนวทางสร้างธุรกิจการเงินที่จะสร้างความสุข ต้องมีแนวคิดชัดเจน มีการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ 1.มีระบบกฎหมายที่ดี พอประมาณ ชัดเจน เป็นธรรม ปฏิบัติได้ สร้างคุณค่า มีระบบติดตาม ไม่หยุมหยิม เสมอภาค ให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งไทยมีความท้าทายเรื่องบังคับใช้กฎหมายค่อนข้างมาก 2.กลไกตลาด ที่ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีระบบสนับสนุนที่ดี และกลไกของรัฐต้องเข้ามามีส่วนช่วย 3.จริยธรรม ทั้งการเสียภาษี การให้การศึกษา สร้างความน่าเชื่อถือที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของกฎหมาย กำจัดการติดสินบน การค้ายาเสพติด และการผิดศีลธรรมด้านอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาคธุรกิจเอกชน และภาครัฐเพื่อนำไปสู่การทำธุรกิจเพื่อสังคมต่อไป
ที่มา : สำนักข่าว สสส.
Update : 13-07-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : คมสัน ไชยองค์การ