“ภัย” ปีใหม่ ประมาทได้ของขวัญเป็นการสูญเสีย
เรื่องใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้น
สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์ ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี…เทศกาลแห่งความสนุกสนานกำลังจะมาถึง หลายครอบครัวคงกำลังมีความสุขในการเตรียมตัวหาสถานที่ไปท่องเที่ยว พักผ่อน หรือเคาท์ดาวน์ฉลองปีใหม่… จนหลงลืมอะไรบางอย่าง…ซึ่งในทุกปีหลังช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านพ้นไป สิ่งที่พบเจอน่าจะเป็นความประทับใจ แต่มันกลับกลายเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีที่มาจาก “ภัยร้าย” ที่อยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง…
โดยสิ่งแรกที่หากเกิดขึ้น!! แล้วอาจทำให้คุณถึงขั้นแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวหรือ “หมดตัว” เลยทีเดียวก็ว่าได้ นั่นคือ “ไฟไหม้” ซึ่งมันอาจเกิดขึ้นได้ทั้งบ้านที่คุณอยู่หรือแม้แต่สถานที่ที่คุณไปเที่ยวพักผ่อน ยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่หลายคนอาจจำเป็นต้องทิ้งบ้านไปหลายวันเพื่อไปเที่ยวเคาท์ดาวน์หรือกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ทำให้ไม่มีคนดูแลบ้าน จากสถิติปี 51 ที่ผ่านมาของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระบุว่า พบเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชนสูงถึง 1,696 ครั้ง สร้างความเสียหายให้แก่บ้านเรือนถึง 2,700 ครัวเรือน มีมูลค่าความเสียหายนับเป็นตัวเลขสูงถึง 1,424,889,050 บาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากพอดู ซึ่งนั่นคงไม่มีใครอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับบ้านของคุณเองเป็นแน่ ฉะนั้นทางเดียวที่จะช่วยไม่ให้เรื่องราวร้ายๆ นี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวคุณเองและคนที่คุณรักคือ “ความไม่ประมาท”
ดังนั้น!! สิ่งที่คุณควรจะทำก่อนออกจากบ้านนั้น คือ เริ่มจากการตรวจตราตามปลั๊กหรือสวิตช์ไฟ ต่างๆ ควรถอดออกทุกครั้งที่ไม่ใช้หรือไม่อยู่บ้านเป็นเวลานานๆ หมั่นสังเกตรอยต่อหรือข้อต่อตามสายไฟต่างๆ ภายในและนอกบ้าน หากเกิดการชำรุดให้เร่งซ่อมในทันที เก็บสิ่งของที่เป็นฉนวนทำให้ติดไฟง่ายไว้ให้ห่างจากอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด
นอกจากนี้ไม่ควรเก็บผ้าขี้ริ้ว หรือไม้กวาดต่างๆ ไว้บริเวณหลังตู้เย็นโดยเด็ดขาด เพราะนั่นอาจเป็นชนวนทำให้เกิดไฟไหม้ช็อตบริเวณแผงไฟหลังตู้เย็นได้ และทางที่ดีที่สุดหากคุณทำได้ เมื่อคุณไม่อยู่บ้านเป็นเวลานานๆ ควรยกสะพานไฟลงเพื่อตัดวงจรไฟฟ้าทั้งหมดภายในบ้านเพื่อกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นขณะคุณไม่อยู่บ้าน แต่หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในสถานที่ที่คุณไปเที่ยวแล้วล่ะก็!! คุณจะทำอย่างไร…
เมื่อ “ไฟไหม้” สามารถเกิดได้ทุกที่ ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับต้นๆ ในการไปเที่ยวที่ต่างๆ คือ จำเป็นต้องสังเกตทางหนีไฟทุกครั้ง โดยสังเกตบันไดหลักและบันไดหนีไฟ ประตู หน้าต่าง เพื่อใช้เป็นเส้นทางหนีไฟ ทางออกจากตัวอาคาร และจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าทางออกนั้นไม่ได้ปิดล็อกหรือมีสิ่งกีดขวาง สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยจริง นอกจากนี้ยังต้องสังเกตอุปกรณ์ช่วยชีวิตและอุปกรณ์เตือนภัย ได้แก่ เครื่องดักจับควัน เครื่องดักจับความร้อน อุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ อุปกรณ์แจ้งเหตุฉุกเฉิน และเครื่องดับเพลิง ว่าอยู่ในตำแหน่งใดและใช้งานอย่างไร
หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน!!! เมื่อคุณบังเอิญไปอยู่ในสถานที่ที่มีไฟไหม้ สิ่งแรกที่จะช่วยให้คุณรอดชีวิตปลอดภัย นั่นคือ “สติ” หลังจากนั้น ให้ปิดประตูหน้าต่างห้องที่เกิดเพลิงไหม้ให้สนิทที่สุดหากทำได้ เพื่อป้องกันการลุกลามของเพลิง แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีใครติดอยู่ข้างใน แล้วรีบวิ่งหนีออกมา และเปิดสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ หากไม่มีอุปกรณ์แจ้งเหตุฉุกเฉิน ให้ช่วยกันตะโกนดังๆ หลายๆ ครั้ง จากนั้นรีบโทรศัพท์เรียกหน่วยดับเพลิงทันที ที่สำคัญ อย่าใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนขณะเกิดเพลิงไหม้ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้จะหยุดการทำงานเนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้า ให้ใช้บันไดหนีไฟเท่านั้น
เป็นของคู่กันเมื่อมีไฟก็ต้องมีควัน!!! เมื่อต้องเผชิญกับควันไฟที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ ควรหาผ้าชุบน้ำปิดปาก ปิดจมูก หรือผ้าห่มชุบน้ำชุ่มคลุมร่างกายไว้ และใช้วิธีคลานต่ำๆ เพราะอากาศที่พอหายใจได้จะอยู่ด้านล่างเหนือพื้นห้องไม่เกิน 1 ฟุต ดังนั้นทันทีที่เกิดเพลิงไหม้ ควันไฟจะปกคลุมอยู่รอบๆ ตัวคุณอย่างรวดเร็ว และกว่า 90% ของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เป็นผลมาจากสำลักควันไฟ เพราะมีทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนน็อกไซด์ เขม่า และอุณหภูมิที่สูงขึ้น หากหายใจเอาอากาศและเขม่าที่เกิดจากกระบวนการเผาไหม้เข้าไปในทางเดินหายใจ จะส่งผลให้ขาดออกซิเจน หายใจไม่ออกและหมดสติได้ แต่ถ้าไฟลามลุกที่ตัว ให้กลิ้งกับพื้นเพื่อดับไฟ หรือในกรณีที่เห็นผู้อื่นมีไฟลามที่ตัว ให้นำผ้าหนาๆ ตบไปที่บริเวณที่ไฟลุกนั้น จากนั้นหาผ้าชุบน้ำมาปิดจมูกและคลุมศีรษะของผู้อื่น แล้วพาออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยในทันที…
ภัยร้ายเรื่องต่อมาที่ไม่แพ้ “ไฟไม้บ้าน” นั่นคือ “ขโมยขึ้นบ้าน” ยิ่งปัจจุบันหลายครัวเรือนเจอกับปัญหาพิษเศรษฐกิจ ส่งผลให้โจร – ขโมยยิ่งชุกชุมเพิ่มจำนวนมากขึ้น ยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่เหมาะแก่การโจรกรรมอย่างมาก เนื่องจากไม่มีคนอยู่บ้านหลายวัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการสูญเสีย…
โดยเริ่มจาก “ประตู” ควรมีความแน่นหนา ใช้วัสดุที่แข็งแรงทนทานยากต่อการทำลาย ช่องว่างระหว่างบานประตูกับวงกบไม่ควรห่างกันเกิน 1/8 นิ้ว บานพับประตูจะต้องอยู่ภายในอาคาร เพื่อให้ยากแก่การถอดจากด้านนอก ประตูที่เป็นประตูเลื่อน ควรจะเอาไม้มาวางในล่องรางของประตูเวลาที่เราปิดเพื่อป้องกันการบุกรุกอีกชั้นหนึ่ง เนื่องจากประตูเลื่อนเป็นประตู ที่งัดแงะ ได้ง่ายที่สุด
“หน้าต่าง” ก็ต้องระวัง โดยเฉพาะที่อยู่ชั้นล่างของตัวอาคาร ควรจะมีล็อคที่ดี เนื่องจากเป็นทางที่ผู้บุกรุกจะเข้ามาได้ง่าย หากจำเป็นให้คำนึงถึง การติดลูกกรง แต่ต้องให้แน่ใจว่า จะสามารถถอดลูกกรงได้ หากมีเหตุอัคคีภัย หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ หน้าต่าง glass block จะให้ความปลอดภัยที่ดี สำหรับหน้าต่างในห้องใต้ดิน ล็อคของประตูควรจะอยู่ห่างจากหน้าต่างอย่างน้อย 40 นิ้ว เพื่อมิให้สามารถเอื้อมมาเปิดล็อคจากหน้าต่างได้ ตัว “ล็อค” ก็ต้องแน่ใจว่าประตูทุกบานที่เปิดออกไปข้างนอกมีล็อคที่ดี ประตูมุ้งลวดและประตูกันพายุ ประตูเฉลียงแม้ว่าจะอยู่ชั้น 2 ก็ควรจะมีล็อคอย่างแน่นหนา ควรปิดล็อคทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เนื่องจาก 50% ของการบุกรุก เกิดจากการบุกรุกผ่านประตูที่ไม่ได้ล็อค
ตัวสำคัญ “กุญแจ” อย่าซ่อนกุญแจไว้ข้างนอก เช่น ใต้กระถางต้นไม้ ถ้าจำเป็นควรฝากกุญแจไว้กับเพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้จะดีกว่า และอย่าให้กุญแจไว้กับช่าง หรือคนที่มาส่งของ อย่าเขียนชื่อ – ที่อยู่ไว้กับพวงกุญแจ หรือกุญแจดอกไหนใช้กับห้องอะไร ถ้าท่านทำกุญแจหาย ผู้ที่เก็บได้อาจเป็นขโมย ก็จะรู้ว่าเป็นกุญแจของบ้านใด ถ้าท่านย้ายเข้าบ้านใหม่ หรือทำกุญแจหาย ควรเปลี่ยนกุญแจทั้งหมดทันที
นอกจากนี้ “สิ่งของที่อยู่นอกบ้าน” ก็เป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับการขโมย การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การเก็บสิ่งของพวกนี้ไว้ในห้องเก็บของ หรือโรงรถที่ล็อคได้ ถ้าจำเป็นที่จะต้องวางสิ่งของไว้นอกบ้าน เช่น เครื่องตัดหญ้า หรือเตาบาร์บีคิว ควรจะหาอะไรคลุมให้มิดชิดไม่ให้เป็นเป้าสายตา ประตูรั้วควรจะปิดด้วยล็อคอย่างดี และพุ่มไม้ที่ใหญ่โตเกินไปจะทำให้ขโมยมีที่ซุกซ่อน ควรจะตัดเล็มให้ขนาดพอสมควร พุ่มไม้ที่มีหนาม เช่น ตะบองเพชร จะช่วยป้องกันได้ถ้าปลูกไว้ข้างใต้หน้าต่างให้ใช้กรวดขนาดใหญ่ไว้ข้างใต้หน้าต่าง เพื่อให้เกิดเสียง เมื่อมีคนเหยียบเดิน ย่ำ
อีกสิ่งหนึ่งที่อาจช่วยคุณได้ “การใช้เทคโนโลยี” การทำให้บ้านของท่านเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา เวลาออกไปข้างนอก ให้เปิดไฟและวิทยุทิ้งไว้ อย่าเปิดไฟดวงเล็กตามทางเดิน หรือมุมห้อง เนื่องจากการกระทำเช่นนี้ จะแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครอยู่บ้าน หรี่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ให้ต่ำสุด ถ้าขโมยได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง แล้วไม่มีคนรับสาย เขาจะรู้ได้ทันทีว่าไม่มีคนอยู่บ้าน ถ้าท่านไม่อยู่บ้านในตอนกลางวัน หรือไปต่างจังหวัด ท่านควรจะใช้เครื่อง เปิด-ปิดอัตโนมัติ เพื่อเปิด- ปิดไฟและวิทยุตามเวลาที่กำหนด
หากไม่อยู่บ้านนานๆ ควรให้เพื่อนบ้าน ที่ไว้ใจได้ช่วยสอดส่องดูแลบ้านให้ เก็บจดหมาย หรือหนังสือพิมพ์ไว้ให้ อย่าทิ้งกระดาษข้อความว่าไม่อยู่บ้านไว้ที่ประตู รวมถึงอย่าฝากข้อความไว้ที่เครื่องตอบรับอัตโนมัติของโทรศัพท์ว่าจะไม่อยู่บ้าน หรือกำลังอยู่นอกบ้าน เพราะอาจทำให้รู้ทันทีว่าไม่มีใครอยู่ เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมทรัพย์สินได้…
แต่หากยังไม่มั่นใจว่าบ้านและทรัพย์สินของคุณจะปลอดภัยจริงๆ ลองเข้าร่วม “โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. โฆษก ตร. ได้บอกว่า เพื่อให้ประชาชนไปเที่ยวในเทศกาลปีใหม่ได้แบบสบายใจ ผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถโทรศัพท์แจ้งข้อมูลได้ที่สถานีตำรวจในเขตรับผิดชอบตลอดเวลา และจะมีเจ้าหน้าที่รับแจ้งข้อมูลนี้เป็นการเฉพาะ พร้อมแนะนำเรื่องต่างๆ ที่ควรปฏิบัติก่อนออกเดินทาง ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเก็บเป็นความลับและเป็นข้อมูลที่แต่ละพื้นที่จะนำมาใช้เป็นฐานจัดกำลังสายตรวจ
ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ 2,011 หลัง ในความดูแลของ บช.น. 1,728 หลัง บก.น.2 รับฝากมากที่สุด 423 หลัง ส่วนโรงพักรับฝากมากที่สุด สน.บางเขน 76 หลัง สน.โชคชัย 68 หลังและ สน.บางนา 58 หลัง ในส่วนตำรวจภูธรจังหวัดต่างๆ 283 หลัง จังหวัดสมุทรปราการ รับฝากมากที่สุด รองลงมา พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ลพบุรี และนครปฐม ซึ่งก็สามารถลดจำนวนการโจรกรรมลงได้บ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี…
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้สำหรับ “ภัยร้าย” ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปีใหม่ หลายคนมักชอบไปสนุกสังสรรค์ ฉลองปีใหม่กันในที่ที่มีการจัดงานเคาท์ดาวน์ต่างๆ เช่น บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิงต่างๆ ซึ่งสถานที่เหล่านี้จะมีประชาชนจำนวนมากไปรวมตัวกัน ทำให้ง่ายต่อการก่อเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ล้วงกระเป๋า ลวนลาม หรือแม้กระทั้งการลอบวางระเบิดจากผู้ไม่ประสงค์ดีเหมือนปีที่ผ่านๆ มา จำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนอย่างเราต้องระมัดระวังตนเองจากภัยเหล่านั้น ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล หากพบเหตุการณ์ดังกล่าวต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ หรือตำรวจบริเวณใกล้เคียงในทันที อย่าคิดว่าไม่เกี่ยวกับเราแล้ว “เพิกเฉย” ไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือ เพราะสิ่งนั้นอาจเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ก็ได้
อีกทั้งหากพบ “วัตถุต้องสงสัย” อย่าพยายามเคลื่อนย้ายหรือเปิดดูโดยพละการ เพราะนั่นอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงได้ ควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้ และจำเป็นต้องแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการต่อไปโดยด่วน
นอกจากนี้ หลังจากที่เที่ยวฉลองปีใหม่อย่างสนุกสนาน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เวลาต้องเลยไปหลังเที่ยงคืนแล้ว!!! สำหรับผู้หญิงที่จำเป็นต้องโดยสารรถสาธารณะกลับบ้านเพียงลำพังก็ควรระมัดระวัง…โดยเฉพาะแท็กซี่ เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นได้ เห็นได้จากข่าวคราวที่พบในหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง คือการจำเลขทะเบียนรถแท็กซี่คันที่นั่ง จำสี ยี่ห้อ รวมถึงรูปพรรณสัณฐานของคนขับแท็กซี่ และควรโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านด้วยว่าตอนนี้เราอยู่บนรถแท็กซี่แล้ว พร้อมทั้งบอกรายละเอียดคร่าวๆ ด้วยว่าแท็กซี่ที่เรานั่งนั้นเป็นสีอะไร แล้วเราอยู่แถวไหน เพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่น่าไว้ใจขึ้นผู้ปกครองจะได้ให้ความช่วยเหลือเราได้ทัน และทางที่ดีที่สุดควรมีเพื่อนกลับด้วยหลายคนน่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด…
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียง “ภัยร้าย” ส่วนหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เราทุกคนจึงจำเป็นต้อง “ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น” เพราะอาจยังมี “ภัยร้าย” อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยที่คุณไม่ทันตั้งตัว หากไม่อยากให้ของขวัญปีใหม่ในปี 53 นี้คือ “การสูญเสีย” คุณจำเป็นต้องมี “สติและไม่ประมาทโดยเด็ดขาด”
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
Update:18-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่