‘ฟันผุ’ภัยเงียบใกล้ตัว
ส่งผลเด็กแคระแกร็น
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน แผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน แผนงานโรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุขระยะที่ 2 ภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็กจากคณะทันตแพทยศาสตร์ 8 มหาวิทยาลัย กองทันตสาธารณสุข ชมรมทันตกรรมสำหรับเด็ก และเครือข่ายวิชาชีพทันตแพทย์ ได้ดำเนินการประชุมเครือข่ายแปรงฟันให้ลูกรักตั้งแต่ฟันซี่แรก เพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากผสมผสานทุกมิติอย่างเป็นระบบ ในกลุ่มเด็กปฐมวัยเพื่อลดปัญหาฟันผุในเด็ก ซึ่งถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ยังแก้ไม่ตก
ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. เล่าว่า โรคฟันผุเป็นปัญหาหลักที่พบได้มากในเด็ก สภาพปัญหามีความชุกและความรุนแรงค่อนข้างมาก เด็กไทยเริ่มมีโรคฟันผุตั้งแต่อายุเพียง 1 ปี และจะมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 12-18 เดือน ข้อมูลจากการสำรวจระดับประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยสำนักทันตสาธารณสุข พบว่า ในปี 2552 ร้อยละ 60 ของเด็กไทยอายุ 3 ปี มีประสบการณ์การเป็นโรคฟันผุในฟันน้ำนม และร้อยละ 80 ของเด็กไทยอายุ 5 ปี ซึ่งใกล้เคียงกันในกรณีของฟันแท้ คือพบร้อยละ 57 เมื่อวัดที่อายุ 12 ปี ฉะนั้น เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานจึงต้องผูกปัญหาฟันผุในเด็กและห้ามกินหวานเข้าด้วยกัน เนื่องจากว่าเมื่อเด็กกินหวาน เกิดการบริโภคทั้งกลุ่มแป้งและน้ำตาลสูงขึ้น ก็จะส่งผลให้เกิดฟันผุ
ด้าน ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม คณะทำงานสำนักทันตสาธารณสุขและรองผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน พูดถึงปัจจัยหลักสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ คือ น้ำตาล ซึ่งมีรูปแบบของน้ำตาลที่หลากหลาย ซึ่งน้ำตาลที่เป็นที่นิยมมากในกลุ่มเด็ก คือ ลูกอม ทอฟฟี่ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานได้เฝ้าระวังการบริโภคของคนไทยตลอดมานับตั้งแต่ปี 2545 พบว่า อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเฉลี่ย 20 ช้อนชา ต่อข้อมูลรูปแบบการกระจายตัวของน้ำตาลในประเทศไทย ได้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลต่อการเกิดโรคฟันผุที่จะทำให้เพิ่มมากขึ้น
ส่วน นพ.สุริเดว ทริปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน บอกถึงผลกระทบเรื่องปัญหาฟันผุในเด็ก ที่ยังถือว่าอยู่ในอัตราสูงช่วงระหว่างเด็กที่เริ่มมีฟันจนถึงปฐมวัย ทำให้เด็กมีปัญหาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเฉพาะช่องปากเท่านั้น ยังทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอีกมาก เริ่มตั้งแต่บริเวณใกล้เคียงจะเกิดเป็นหนองที่เหงือกทำให้แก้มบวม ตาบวม ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโต ต่อมทอนซิลอักเสบ ผิวหนังอาจเป็นผื่นคันจากภูมิแพ้ หัวใจเรื่องสำคัญ อาจทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบถึงขั้นหัวใจรั่วจากการติดเชื้อและยังลามไปอวัยวะอื่นอีก ผลจากอาการปวดฟัน เคี้ยวอาหารไม่สะดวก ไม่ละเอียด ทำให้ขาดสารอาหาร เจ็บปวด นอนไม่หลับ สารพันโรคทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงความต้านทานต่อ โรคอื่นๆ ลดน้อยลง ผลกระทบคือเด็กจะมีความสูงและน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน รวมทั้งศีรษะเล็กกว่าเด็กที่ไม่มีฟันผุปฐมวัย ซึ่งเด็กที่เคี้ยวอาหารไม่ได้และพูดไม่ชัด ทำให้ถูกล้อเลียนมีปัญหาทางด้านจิตใจ
ขณะที่ รศ.ทพญ.ชุติมา ไตรรัตน์วรกุล อาจารย์ประจำภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนแผนงานโรงพยาบาลสร้างสุข เล่าถึงการสำรวจทันตสุขภาพครั้งล่าสุดในประเทศไทยปี พ.ศ. 2550 พบว่า เด็กอายุ 3 ปีมีโรคฟันผุร้อยละ 61 และมีจำนวนฟันที่ผุ ถอน อุด 3.2 ซี่ต่อคน เมื่อสำรวจเด็กอายุ 5 ปี พบว่า มีความชุกของโรคฟันผุเพิ่มเป็นร้อยละ 80 และมีอัตราผุ ถอน อุด 5.43 ซี่ต่อคน อัตราดังกล่าวในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะลดลงน้อยมากแม้ว่าจะมีการทำงานป้องกันมากมาย ดูเหมือนว่าเราเพียงแต่ควบคุมไม่ให้อัตราผุในเด็กสูงขึ้นเท่านั้น สาเหตุของโรคฟันผุปฐมวัยเกิดจากการเลี้ยงนมและอาหารเหลวไม่เหมาะสม ร่วมกับไม่มีการทำความสะอาดฟัน พฤติกรรมการเลี้ยงนมและอาหารเหลวที่ไม่เหมาะสมได้แก่ การหลับคาขวดหรือนมแม่ หรือดูดนมถี่ๆ ในช่วงกลางคืนหลังจากมีฟันน้ำนมขึ้นมาในช่องปากแล้ว
คุณหมอยังเล่าให้ฟังถึงผลกระทบในแง่ของการรักษาว่า เด็กในวัยนี้แม้ผู้ปกครองจะแปรงฟันให้ก็ยังไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ หากมีฟันผุก็จะยิ่งยากสำหรับทันตแพทย์ที่จะทำการรักษา จำเป็นที่จะต้องเป็นทันตแพทย์เฉพาะทางสำหรับเด็ก ซึ่งไม่มีอยู่ทั่วไปในโรงพยาบาล หรือคลินิกชนบท เมื่อเด็กมีอาการปวด บวม ผู้ปกครองจำนวนมากต้องตามหาทันตแพทย์ที่จะรักษาให้ได้ เพราะมีอยู่ในเมืองใหญ่เท่านั้น.
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update: 14-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่