พ่อเลี้ยงเดี่ยวกับลูกชายติดเกม สื่อสารเชิงบวกสู้ภัยโควิด
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
แฟ้มภาพ
หลายครอบครัวต้องกักตัวอยู่บ้านในช่วงโควิด-19 ซึ่งการสื่อสารเชิงบวกมีความสำคัญมากกับสถานการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะช่วงที่เด็กต้องเรียนออนไลน์อยู่บ้าน ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถใช้การสื่อสารเชิงบวกเพื่อช่วยเสริมทักษะต่างๆ ได้
ในงานเสวนาออนไลน์ "ลูกหลานเรียนออนไลน์ จะสื่อสารอย่างไรให้เข้าใจ" ภายใต้โครงการคุณเปลี่ยน ลูกเปลี่ยน ปีที่ 2 โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ทูลมอโร (toolmorrow) ได้มีคุณพ่อคุณแม่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ตรงในมุมของผู้ปกครองที่มีลูกเรียนออนไลน์ในห้วงโควิด-19 ระบาด ซึ่งแต่ละเคสน่าสนใจและสามารถถอดบทเรียนส่งต่อเป็นความรู้ได้
โดยเฉพาะเรื่องราวของ พ่ออ๊อด-สังวรณ์ ฤทธิเดช คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกชายคนเดียว อายุ 14 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.3 ที่เล่าว่า ด้วยสถานการณ์ โควิด-19 ตนเองก็ต้องทำงานเหนื่อยและหนักขึ้น ขณะเดียวกันลูกชายก็ต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน ภาระงานบ้านและดูแลลูกก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
สำหรับการเรียนออนไลน์ก็พบว่ามีทั้งด้านบวก และด้านลบ ในด้านลบคือ ในมุมของพ่อมีเครียดบ้างที่ลูกใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่พอได้จับแล้วบางทีก็ใช้เวลาไปกับหน้าจอเพลิน ทำให้ต้องหมั่นดึงเขาออกจากจุดนั้น ขณะเดียวกันในทางบวกทำให้ลูกมีมนุษยสัมพันธ์ดีขึ้น
"จากเดิมที่ไปโรงเรียนเขาจะเที่ยวกับเพื่อน ทุกวัน พอเรียนออนไลน์อยู่บ้านเลยไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ผมก็สบายใจไปอย่างหนึ่ง ประกอบกับผมมองว่าช่วงเวลาที่เรียนอยู่บ้านนี่แหละเป็นโอกาสในยามวิกฤตที่ผมจะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ได้ทำอาหารให้ลูกกินบ่อยๆ" พ่ออ๊อดเล่าด้วยรอยยิ้ม
ทว่ากว่าที่พ่อลูกจะเข้าใจและมีรอยยิ้มให้แก่กัน พ่ออ๊อดและลูกชายก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาก่อน
ผู้เป็นพ่อเล่าว่า ด้วยก่อนหน้านี้ลูกชายมีพฤติกรรม ติดเกมมาก สามารถเล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 30 ชั่วโมง ติดกัน พูดง่ายๆ ว่า ไม่หิว ไม่อาบน้ำ ไม่ทานข้าว พ่ออ๊อดที่เห็นภาพแบบนี้ทุกวันจึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่แย่มาก เป็นพ่อที่ไม่มีคุณภาพ ไม่สามารถทำให้ลูกมีความรับผิดชอบ หรือละออกจากเกมได้
ความกังวลในหัวอกของพ่อเลี้ยงเดี่ยวคนนี้จึงไปตกอยู่ "อนาคตของลูก" ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อนาคตลูกจะอยู่อย่างไร เกิดความผิดหวังจากความคาดหวังที่ตั้งใจจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน พ่ออ๊อดก็อธิบายถึงตัวเองในตอนนั้นว่า "แต่เดิมพฤติกรรมของผมก็คือเป็นพ่อที่ก้าวร้าว เผด็จการ พูดน้อย ลูกไม่ฟังก็ตบอย่างเดียว ตอนนั้นทั้งตัวผมและลูกก็ต่างเครียดกันมาก และลูกก็จะเก็บกดมาก กระทั่งผมเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนตัวเองก่อน แล้วคนรอบข้างจะเปลี่ยนตาม โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารเชิงบวก อย่างการชื่นชม ที่ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยใช้กับลูกเลย ผมมีแต่คำสั่งกับลูก"
เส้นทางการเปลี่ยนแปลงตัวเองของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีจุดมุ่งหมายในการเป็นพ่อที่ดีของลูกก็เริ่มขึ้น
สังวรณ์เรียนรู้ที่จะจัดการอารมณ์ตัวเอง เปิดใจคุยกับลูก สื่อสารเชิงบวก ชื่นชมและรับฟังลูก
โดยเขามีเครื่องเตือนใจอันสำคัญ "มาจนถึงวันนี้ ความสัมพันธ์พ่อลูกดีขึ้นเรื่อยๆ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่อยากกลับไปมีพฤติกรรมแบบเดิมอีกคือภาพจำแววตาของลูก ในวันหนึ่งที่ผมเตะเขา ตีเขา และก็ดุเขา ว่าเขาแรงมาก ซึ่งมีแวบหนึ่งที่ผมมองตาเขา แววตาเขาเต็มไปด้วยความกลัวเหมือนเวลาที่เขามองเห็นสัตว์ร้าย เหมือนเราไม่ใช่พ่อของเขา เป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเลวมาก แย่มาก แววนั้นกลายเป็นเครื่องเตือนใจผมทุกครั้งเวลาที่ผมโกรธ ทำให้ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองได้"
ดังที่ว่าลูกคือกระจกสะท้อนพ่อแม่ได้ดีที่สุดและแววตานั้นของลูกชายพ่ออ๊อดได้หายไปแล้ว "เหลือแต่แววตาอ้อนขอตังค์" พ่ออ๊อดเล่าแกมขำ
ทั้งนี้ ปัจจุบันลูกชายพ่ออ๊อดเล่นเกมน้อยลง มีการพูดคุยตกลงกันว่า ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกลูกจะไม่เล่นเกม จะเล่นได้ตอนพระอาทิตย์ตกจนถึง 22.00 น. และในคืนวันเสาร์สามารถเลยเวลา 22.00 น.ได้ เพราะวันต่อมาคือวันอาทิตย์เป็นวันหยุดไม่มีกิจกรรมอะไร จากที่ไม่ค่อยคุยกับพ่อก็เปิดใจเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง
บางครั้งการจะให้ลูกเปลี่ยนแปลง ขณะที่ตัวพ่อแม่ไม่เปลี่ยนอะไรเลยอาจจะเป็นเรื่องยาก และจะเป็นไปได้ไหมที่คนเป็นพ่อแม่จะลองเปิดใจเข้าใจลูกมากขึ้นและลองปรับเปลี่ยนดูบ้าง โดยสามารถเริ่มทำได้ง่ายๆ เพียง 3 ข้อเมื่อมีปัญหากับลูก คือ 1.ทำความเข้าใจสถานการณ์ ว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด 2.ฟังและพูดสะท้อนความรู้สึกของลูก เพื่อจะได้รู้ว่าลูกรู้สึกอย่างไร และเราควรจะช่วยลูกอย่างไร และ 3.ลดความคาดหวังลง เรายิ่งหวังยิ่งเครียด ลูกก็เครียด ซึ่งไม่ส่งผลดีกับใครเลย
ติดตามข้อมูลหรือเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก Toolmorrow และ www.คุณเปลี่ยนลูกเปลี่ยน.com เปลี่ยนเพื่อลูก