‘พัฒนาเยาวชน’ ยาแก้ปัญหาภาคใต้

เปิดเวทีแสดงออกในทางสร้างสรรค์

 

          ผ่านไปด้วยความเรียบร้อยดีอีกครั้ง สำหรับการจัดงานมหกรรมองค์กรเยาวชนระดับอบต. 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากที่มูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง และองค์กรเครือข่ายผู้ให้การสนับสนุน ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ได้จัดให้มีงานมหกรรมในลักษณะเดียวกันไปก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง ที่จังหวัดนราธิวาส และปัตตานี

‘พัฒนาเยาวชน’ ยาแก้ปัญหาภาคใต้ 

          การจัดงานที่จังหวัดยะลาก็ยังคงมีเป้าหมายเดียวกัน คือ มุ่งส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรเยาวชน ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของคนหนุ่มสาวในพื้นที่ได้มีเวทีแสดงออกในแนวทางที่สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศิลปะการแสดงพื้นบ้านดนตรี หรือกีฬา อันจะก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี ซึ่งนำไปสู่ความสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

 

          ทางมูลนิธิได้เริ่มทำ “โครงการพัฒนาขีดความสามารถขององค์กรเยาวชนระดับ อบต. 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสร้างสันติสุข” ตั้งแต่ปี 2551 โดยส่งเสริมให้เยาวชนของแต่ละตำบลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมตัวจัดตั้งเป็น องค์กรเยาวชน เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญคือการสนับสนุนให้เยาวชนได้บริหารจัดการทุกอย่างในองค์กรด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนได้อย่างแท้จริง

 

          กับคำถามที่ว่าทำไมการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงต้องเริ่มที่การพัฒนาเยาวชน ลองไปหาคำตอบจากมณัส ศุภชีวะกุลหรือ เฮียจู อายุ 67 ปี รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมจังหวัดยะลา กรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนยะลาและที่ปรึกษามูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง ที่ได้ให้มุมมองในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของยะลาและพื้นที่ชายแดนภาคใต้มาอย่างยาวนานว่า ครอบครัวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากพื้นที่อื่น การที่ผู้ชายมีเมียได้หลายคน และเมียแต่ละคนก็ยังมีลูกหลายคน จึงมักจะเป็นครอบครัวใหญ่ ทำให้เยาวชนโดยเฉพาะผู้ชายที่เติบโตขึ้นมาอาจจะไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่มากนัก บวกกับบริการทางการศึกษาที่ภาครัฐยังเข้าไปไม่ได้ทั่วถึง จึงทำให้ถูกชักจูงไปในทางที่ผิดได้ง่าย หากได้รับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนไม่ถูกต้องจากผู้ไม่หวังดี โดยเฉพาะกับกลุ่มเยาวชนที่อยู่นอกระบบโรงเรียนที่มีถึงกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนเยาวชนทั้งหมด

 

          เด็กที่อยู่นอกระบบโรงเรียนมักจะคิดว่าตัวเองต่ำต้อย และส่วนใหญ่จะอยู่ติดพื้นที่ไม่ได้ไปไหน แต่เมื่อมีเวทีให้เขาเล่นกลับพบว่า เด็กกลุ่มนี้มีความคิดดี ๆ เยอะมากดังนั้นการพัฒนาบทบาทของเยาวชนให้ได้แสดงออกไปในแนวทางที่สร้างสรรค์จึงถือว่าเป็นการเดินมาถูกทางแล้ว”

 

          เฮียจู ยังเล่าอีกว่า ในอดีตสมัยที่ยังเป็นเด็ก ไม่ว่าพุทธ หรือมุสลิมก็เรียนหนังสือด้วยกัน เป็นเพื่อนรักสนิทสนม ไปมาหาสู่กันตลอด เราแกล้งเด็กมุสลิมได้ เด็กมุสลิมก็แกล้งเราได้ ไม่มีเรื่องของศาสนามาเกี่ยวข้อง แต่ตั้งแต่ปี 2503 ที่เริ่มมีการจัดตั้งโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทำให้เยาวชนต่างศาสนาเริ่มห่างกัน เด็กไทยพุทธเข้าโรงเรียนรัฐบาล ส่วนเด็กมุสลิมก็เข้าโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม แม้ปัจจุบันในระดับประถมจะให้เด็กเรียนโรงเรียนรัฐบาลเหมือนกัน แต่ในระดับมัธยมก็มักจะแยกกันไปเหมือนเดิม ทำให้ความเป็นเพื่อนขาดหายไป

 

          การจัดตั้งองค์กรเยาวชนจะเป็นการดึงเยาวชนจากทุกกลุ่มทุกศาสนาเข้ามาใกล้ชิดกันเหมือนเดิม ยิ่งแต่ละตำบลมีการติดต่อประสานกันเป็นครือข่ายก็ยิ่งทำให้เยาวชนในแต่ละพื้นที่ได้ทำความรู้จัก พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ระหว่างกัน ได้เป็นเพื่อนกันมากขึ้น จากความเหินห่างก็แปรเปลี่ยนเป็นความใกล้ชิด เมื่อคนได้รู้จัก ได้ใกล้ชิดกัน ก็ย่อมก่อให้เกิดความรักความสามัคคีติดตามมา และผลพลอยได้อีกประการก็คือ ความรู้สึกรักท้องถิ่น เมื่อทุกคนรู้รากเหง้าของตนเอง ก็จะรักและไม่อยากให้บ้านของตัวเองวุ่นวาย ซึ่งผมยืนยันว่าทุกวันนี้ปัญหาต่าง ๆ ลดน้อยลงมากทั้งเรื่องของยาเสพติด หรือปัญหาทะเลาะวิวาท”

 

          และกับคำถามที่ว่า ปัญภาภาคใต้จะจบอย่างไร เฮียจูฟันธงว่า มันคงไม่จบ เพราะย้อนประวัติศาสตร์ไปเป็นร้อย ๆปีก็มีเรื่องเหล่านี้มาตลอด แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะปัญหาแบบนี้ก็มีในทุกประเทศ เพียงแต่เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ปัญหาเบาบางลง และทุกคนยังอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งเงื่อนไขสำคัญก็คือ ความเป็นธรรม

 

          ปัญหาความไม่เป็นธรรมจริง ๆแล้วก็มีในทุกพื้นที่ และทุกประเทศแต่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเป็นอัตลักษณ์ของตนเองสูงมาก จึงมีความอ่อนไหว ดังนั้นเรื่องเดียวกันหากเกิดในอีกพื้นที่หนึ่งอาจไม่เป็นปัญหาและถ้ามาเกิดในพื้นที่ภาคใต้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ แม้แต่กรณีตำรวจจราจรจับคนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน็อกก็ยังเคยเป็นเรื่องใหญ่มาแล้ว เราจึงต้องให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมและวัฒนธรรมในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง”ในขณะที่ ไซฟุดดีน สาและ วัย 19 ปี ในฐานะประธานองค์กรเยาวชนจังหวัดยะลา เขต 1 บอกว่า ต้องยอมรับว่าเยาวชนเป็นผู้ก่อเหตุความรุนแรงมากที่สุด โดยหมายจับส่วนใหญ่จะเป็นเยาวชนอายุ 20-25 ปี ซึ่งการที่เยาวชนก่อเหตุเพราะภาครัฐเข้าไม่ถึงเยาวชน หลายกลุ่มถูกปล่อยปละละเลย และยังไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้ปัจจุบันจะมีโครงการของรัฐมากมาย แต่ก็ยังเข้าไม่ถึง เป็นแค่การใส่เงินลงมา แต่ไม่มีการติดตามผลก็เท่ากับเงินละลายหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

 

          การดึงเยาวชนออกมาจากวงจรเดิม ๆ เป็นการลดช่องว่าง ป้องกันการรับข้อมูลข่าวสารผิด ๆ และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนให้ได้เดินไปในทางที่ถูกต้อง ซึ่งยืนยันว่าเยาวชนส่วนใหญ่มีความคิดดี ๆ เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสแสดงออก”

 

          ก็เป็นแง่คิดจากคนสองวัยที่เห็นตรงกันว่า การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่เยาวชนน่าจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมากแม้ความไม่สงบจะยังไม่หมดไป แต่อย่างน้อยก็น่าจะบรรเทาเบาบางลง

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

update:13-07-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code