‘พลังหญิง สู่การยุติความรุนแรง’
วัน ‘สตรีสากล’ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา ถูกกำหนดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้ผู้หญิงมีบทบาทและสถานภาพที่เสมอภาค รวมถึงได้รับสิทธิ และความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม
ถึงแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานนับศตวรรษ แต่ใช่ว่าพลังการขับเคลื่อนเพื่อผู้หญิงจะจบลง ‘เครือข่ายรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง’ กว่า 14 องค์กร จึงได้จัดกิจกรรมรณรงค์ “เคลื่อนเพื่อหยุดความรุนแรงต่อผู้หญิง หรือ MOVE to STOP violence against women” ด้วยการเต้นรณรงค์เพลง ‘Break the Chain’ ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ด้วยความหวังว่าจะเป็นการสร้างจิตสำนึกการไม่ยอมรับความรุนแรงต่อผู้หญิงในสังคมไทย
‘พลังหญิง ลดความรุนแรง’
ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานส่งเสริมสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ พูดถึงการรณรงค์ครั้งนี้ว่า เป็นกิจกรรมขับเคลื่อนเพื่อผู้หญิง ที่ไม่ได้จัดขึ้นและจบลงภายใน 1 วันเท่านั้น แต่ทางแผนงานฯ และเครือข่ายฯ จะยังร่วมกันทำงานต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี จนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งเป็น “วันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง” ตลอดระยะเวลา 9 เดือน จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อเรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรมด้านต่างๆ ให้กับผู้หญิงด้วย
‘สะท้อนมุมมอง สร้างคุณค่าผู้หญิง’
ตลอดทั้งปีนี้ จะเป็นกิจกรรมการณรงค์เพื่อผู้หญิงผ่านสื่อประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดฉายภาพยนตร์สารคดีที่สะท้อนมุมมองและคุณค่าของผู้หญิง ให้สังคมได้รับรู้และเห็นความสำคัญของผู้หญิง สำหรับร้านหนังสือทางเลือกที่จังหวัดปัตตานี ก็จะจัดกิจกรรมอ่านหนังสือสำหรับผู้หญิงขึ้น ในช่วงเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
ผู้จัดการแผนงานฯ เสริมว่า นอกจากนี้จะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์สาธารณะขึ้น โดยเป็นกิจกรรมเดิน วิ่ง และวิวแชร์ เราจะใช้ท้องถนนในกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่แสดงพลังขับเคลื่อนให้สังคมไทยเห็นว่า เราไม่เห็นด้วยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกรูปแบบ ที่น่าประทับใจคือ กลุ่มผู้พิการทั้งชายและหญิง จะร่วมกันจัดนิทรรศการภาพถ่ายในหัวข้อที่ว่า ‘She Can เธอทำได้’ ซึ่งเป็นภาพถ่ายผู้หญิงพิการ ที่มีบทบาทและหน้าที่การทำงานในสังคม ได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป
‘1 พลังเสียง ร่วมขับเคลื่อน’
สุภาพร พัชรากิตติ หรือ ผักบุ้ง หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ “เคลื่อนเพื่อหยุดความรุนแรงต่อผู้หญิง หรือ MOVE to STOP violence against women ให้ความคิดเห็นว่า เป็นสิ่งที่ดี ที่เกิดการรวมตัวกันแสดงพลังของผู้หญิง เพื่อให้สังคมหันมาให้ความสำคัญ และร่วมเป็นหนึ่งในผู้รณรงค์เพื่อหยุดการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง
“การนำเสนอของ ‘สื่อ’ ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีผลต่อการกระตุ้นให้สังคมหันมาสนใจและเห็นว่า การกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นเรื่องเพิกเฉยไม่ได้อีกต่อไป ตัวเราก็สามารถเป็นสื่อเองได้ อย่างการรณรงค์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คซึ่งถือว่า มีอิทธิพลต่อสังคมค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก อินสตราแกรม ทวิตเตอร์ หรือช่องทางอื่นๆ ซึ่งการแบ่งปันในลักษณะนี้ จะมีส่วนทำให้สังคมเกิดการรับรู้เป็นวงกว้างและมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง” ผักบุ้ง หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์ บอกทิ้งท้าย
เพราะเรื่องความรุนแรงต่อผู้หญิงไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หากสังคมตื่นตัวและร่วมกันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงอย่างจริงจัง สิทธิ ความเสมอภาค และความเท่าเทียมก็จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงอย่างแท้จริง…
เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th