พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี
พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี
“สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์ ฤกษ์ยามดีเปรมปรีชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานีให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย…
“พรปีใหม่”
ความสุขของปวงประชา คือความสุขของพระมหากษัตริย์ นี่คือลักษณะพิเศษของกำเนิดและพระราชประวัติด้านดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผลแห่งพระปรีชาสามารถด้านดนตรี หาใช่ความไพเราะของทำนองเพลงและคำร้องของบทเพลงพระราชนิพนธ์เท่านั้นไม่ แต่เป็นศิลปะแห่งการผสานความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างพระมหากษัตริย์พระองค์นี้กับประชาชนชาวไทยด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระมหากรุณารับสั่งเล่าเบื้องหลังการพระราชนิพนธ์เพลงเป็นครั้งแรกแก่สมาคมดนตรีเนื่องในโอกาสที่พระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ “Echo” บรรเลงเป็นปฐมฤกษ์ว่า
“(เพลงแรกคือแสงเทียน)… จากนั้น ฉันก็แต่งขึ้นอีกเรื่อย ๆ จนบัดนี้รวมทั้งหมด ๔๐ เพลง ในระยะเวลา ๒๐ ปี คิดเฉลี่ยปีละ ๒ เพลง ที่ทำได้ก็เพราะได้รับความสนับสนุนจากนักดนตรี นักเพลงและนักร้อง รวมทั้งประชาชนผู้ฟัง ต่างได้แสดงความพอใจ และความนิยมพอสมควร จึงเป็นกำลังใจแก่ฉันเรื่อยมาขอถือโอกาสขอบใจมาในที่นี้ด้วย”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลง “Echo” ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ นับเป็นบทแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงพร้อมคำร้องภาษาอังกฤษ ขณะนั้นมีพระชนมพรรษา ๔๐ พรรษา
ย้อนหลังไป ๔ ปีก่อนทรงพระราชนิพนธ์ “Echo” พระราชอัจฉริยภาพด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ปรากฏก้องในนานาประเทศ ขณะที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสาธารณรัฐออสเตรียอย่างเป็นทางการในปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ สถาบันการดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนา (Die Akademie fur Musik und Darstellende Kunst in Wien) ได้ทูลเกล้า ถวายตำแหน่งอันทรงเกียรติสูงส่งยิ่งนั่นคือ สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบันอันเก่าแก่แห่งนี้ เนื่องจากพระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์ดนตรีเป็นที่ปรากฏและนิยมชื่นชมอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชาวออสเตรีย จนกระทั่งวงดุริยางค์ นีเดอร์ เออสเตอร์ไรซ์ โทนคันสท์เลอร์ (Nieder Osterreich Tonkunstler) ได้อัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ ชุด “มโนราห์” “สายฝน” “ยามเย็น” “มาร์ชราชนาวิกโยธิน” และ “มาร์ชราชวัลลภ” ออกกระจายเสียงทางสถานีวิทยุของรัฐบาลถ่ายทอดไปทั่วดินแดนแห่งดนตรีคลาสสิกอันลือชื่อของทวีปยุโรป
และหากจะย้อนหลังไปอีกครั้งหนึ่ง ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสหรัฐเอมริกา พระปรีชาสามารถด้านดนตรีแจ๊สในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ปรากฏเลื่องลือไปทั่วประเทศอันเป็นศูนย์กลางดนตรีร่วมสมัยประเภทนี้ด้วย ทรงเข้าร่วมบรรเลงดนตรีโดยมิได้เตรียมพระองค์มาก่อน ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงขึ้นอย่างฉับพลัน และยังทรงบรรเลงโต้ตอบกับนักดนตรีแจ๊สชาวอเมริกันอันลือนามอีกด้วย บรรยากาศอันเป็นกันเองที่มิได้เตรียมการล่วงหน้าเช่นนี้เป็นที่นิยมยกย่องของชาวอเมิรกันเป็นอย่างยิ่ง สถานีวิทยุเสียงแห่งอเมริกา ได้เชิญบทที่พระราชทานสัมภาษณ์พิเศษเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งดนตรีที่ทรงร่วมบรรเลงออกกระจายเสียงทางสถานีวิทยุไปทั่วโลกด้วย นับเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการกระชับมิตรภาพครั้งสำคัญครั้งแรกระหว่างไทยกับสหรัฐในยุคนั้น
๔๐ ปีได้ผ่านไปหลังจากที่ทรงพระราชนิพนธ์ “แสงเทียน” เป็นเพลงแรกในปีพุทธศักราช ๒๔๘๙ ปัจจุบันมีเพลงพระราชนิพนธ์ รวมทั้งสิ้น ๔๓ เพลง อาจกล่าวได้ว่าบทเพลงพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ ได้กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย อาทิเช่นในวงการบันเทิง บทเพลงพระราชนิพนธ์ คือ ทำนองเพลงอันไพเราะที่ทุกคนรู้จักดีและสามารถร้องเพลงได้ขึ้นใจ ในปัจจุบัน “พรปีใหม่” ได้กลายเป็นเพลงประเพณี ในวันส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ของคนไทย ในสถาบันการศึกษาระดับสูงของประเทศ “มหาจุฬาลงกรณ์” “ธรรมศาสตร์” และ “เกษตรศาสตร์” ได้กลายเป็นเพลงอันศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยอันเก่าแก่ทั้งสามแห่ง และในวงราชการทหาร “มาร์ชราชวัลลภ” และ “มาร์ชธงชัยเฉลิมพล” ได้กลายเป็นแบบฉบับของดนตรีมาร์ชที่ใช้บรรเลงประจำปีในพระราชพิธีอันสำคัญยิ่งของชาติคือ พระราชพิธีปฏิญาณตนและตรวจพลสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
จากลักษณะพิเศษต่าง ๆ ของเพลงพระราชนิพนธ์นี้อาจกล่าวได้ว่าบทพระราชนิพนธ์ทั้ง ๔๓ เพลงนี้ ต่างสะท้อนถึงสะท้อนถึงพระราชประวัติตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ตลอดจนพระราชกรณียกิจนานัปการที่ได้ทรงปฏิบัติตั้งแต่เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เป็นพยานแห่งความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและประชาชนชาวไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องยืนยันว่าความสุขของปวงประชาคือ ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้
ความสนพระราชหฤทัยด้านดนตรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สนพระราชหฤทัยดนตรีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงอ่านหนังสือเกี่ยวกับการดนตรีตั้งแต่ทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงได้รับการฝึกฝนตามแบบฉบับการศึกษาวิชาดนตรีอย่างแท้จริงคือการเขียนโน้ตและบรรเลงแบบคลาสสิก มีพระอาจารย์ถวายคำแนะนำอย่างเข้มงวดนานกว่า ๒ ปี หลังจากทรงฝึกหัดดนตรีขั้นพื้นฐานได้นานพอสมควรแล้ว จึงเริ่มสนพระราชหฤทัยทรงดนตรีไปในแนวแจ๊ส (Jazz) ทรงศึกษาประวัตินักดนตรีที่มีชื่อเสียงและทรงเปรียบเทียบฝีมือการเล่นดนตรีต่าง ๆ จากแผ่นเสียงที่บรรเลงโดยนักดนตรีเหล่านั้น แล้วจึงทรงบรรเลงสอดแทรกพร้อมกับแผ่นเสียงของนักดนตรี ที่มีชื่อเสียงตามสไตล์ที่โปรด เช่น สไตล์การเป่าโซปราโน แซกโซโฟน ของซิดนี่ เบเซ่ (Sydney Bechet) ออโต แซกโซโฟน ของจอห์นนี่ ฮอดเจส (Johny Hodges) เปียโนและวงดนตรีของดยุค เอลลิงตัน (Duke Ellington) เป็นต้น
ยามที่ทรงว่างจากการศึกษาก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรดานักเรียนไทยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไปร่วมสโมสรสังสรรค์ ณ พระตำหนักวิลล่าวัฒนา และร่วมทรงดนตรีด้วยอย่างสำราญพระราชหฤทัย เมื่อเสด็จฯ ประทับที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงปารีสเป็นการส่วนพระองค์ก็ได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณร่วมทรงดนตรีกับนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส การที่ทรงใช้ดนตรีวงสมัครเล่นเป็นสื่อสร้างบรรยากาศและความสัมพันธ์ที่สนุกสนานและเป็นกันเองเช่นนี้ ได้กลายเป็นผลประโยชน์อเนกอนันต์ในเวลาต่อมา คือการประสานความร่วมมือระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับบุคคลในวงการต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์งานสาธารณประโยชน์นานาประการแก่ประเทศชาติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรีเป็นพิเศษ เครื่องดนตรีที่โปรดคือ เครื่องเป่าแทบทุกชนิด เช่น แซกโซโฟน คลาริเน็ต และทรัมเป็ต ทั้งยังทรงกีตาร์และเปียโนได้อีกด้วย นอกจากนี้ทรงเล่นดนตรีร่วมกับวงดนตรีได้ทุกวงทั้งไทยและต่างประเทศ ทรงเข้าบรรเลงร่วมกับวงดนตรีนั้น ๆ ได้ ไม่ว่าวงดนตรีนั้นจะมีแนวการเล่นแบบใด สำหรับวงดนตรีแจ๊สนั้น ยังทรงดนตรีได้ทั้งชนิดมีโน๊ตและไม่ต้องมีโน้ต เมื่อถึงตอนเดี่ยว (Solo) ทรงสามารถใช้ปฏิภาณเล่นเดี่ยวได้อย่างยอดเยี่ยม ศัพท์ทางดนตรีเรียกว่า การเดี่ยวแบบ “Solo adlip” ซึ่งถือว่ายาก เพราะนักดนตรีจะต้องแต่งเนื้อหาขึ้นโดยฉับพลัน แต่ให้อยู่ในกรอบของจังหวะและแนวเพลงนั้น พระราชอัจฉริยภาพทางดนตรีนั้นถึงขั้นที่ทรงคลาริเน็ตและแซกโซโฟนบรรเลงได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถบรรเลงโต้ตอบได้อย่างครื้นเครงกับนักดนตรีต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น เบนนี่ กู๊ดแมน (Benny Goodman) แจ๊ก ทีการ์เด้น (Jack Teagarden) นักตีระนาดเหล็กสากล ไลออเนล แฮมพ์ตัน (Lionel Hampton) นักเป่าทรัมโบน และ สแตน เก็ตส์ (Stan getz) นักเป่าเทนเนอร์ แซกโซโฟน เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนนครนิวยอร์คประเทศ สหรัฐอเมริกา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ นักดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลกเหล่านั้นล้วนถวายการยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่ทรงเป็นนักดนตรีแจ๊สที่มีอัจฉริภาพสูงส่ง
ผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทและผู้ที่เคยได้ร่วมเล่นดนตรีกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเล่าถึงพระราชอัจฉยริภาพในการพระราชนิพนธ์เพลงว่า ทรงแต่งเพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย ครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัยหยิบฉวยซองจดหมายได้ก็ทรงตีเส้น ๕ เส้น แล้วทรงเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นโดยฉับพลัน เช่น “เราสู้” เป็นต้น
กำเนิดวงดนตรีกิตติมศักดิ์ : ลายคราม อ.ส. วันศุกร์ และสหายพัฒนา
ซีวิงลายคราม
ซีวิงลายคราม
หนึ่งสองสามสี่
อ้าวไม่เป่า
ชู่ ชู่ ชู่ ชู่ ชู่
ต้องไม่แสดงรุ่มร่าม
ต้องไม่แสดงรุ่มร่าม
อ้าวไม่สี หนึ่งสองสามสี
ซีวิงลายคราม
………………………………
“ศุกร์สัญญลักษณ์”
ดนตรีประเภทที่โปรดนั้น คือ ดนตรีแจ๊ส ดิ๊กซีแลนด์ (Dixieland Jass) ซึ่งเป็นสไตล์ชาวอเมริกันแห่งเมืองนิวออลีนส์ หลัง พ.ศ. ๒๔๕๙ (ค.ศ. ๑๙๑๖) เป็นแจ๊สที่มีจังหวะตื่นเต้นครึกครื้นและสนุกสนานเร้าใจ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นระบายอารมณ์และความรู้สึกออกมาเป็นทำนองเพลงได้อย่างเสรี นอกจากนี้ยังตั้งวงได้ง่าย เพราะใช้เครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้นก็สามารถเล่นได้ เหมาะสำหรับนักดนตรีสมัครเล่นที่จะจับกลุ่มตั้งวงขึ้นในหมู่มิตรสหายที่คุ้นเคยได้เป็นอย่างดี วงดนตรีในยุคเริ่มแรงที่ตั้งขึ้นในพระที่นังอัมพรสถาน คือ “วงลายคราม” นักดนตรีล้วนเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ ผู้ที่ทรงคุ้นเคยตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ อาทิเช่น หม่อมเจ้าวิมวาทิตย์ รพีพัฒน์ หม่อมเจ้าแววจักร จักรพันธุ์ หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ หม่อมเจ้ากมลสาน ชุมพล หม่อมเจ้าชุมปกบุตร ชุมพล หม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ หม่อมราชวงศ์พงศ์อมร กฤดากร หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายสุรเทิน บุนนาค และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ นักร้องก็มี หม่อมเจ้ามูรธาภิเศก โสณกุล และหม่อมเจ้าขจรจบกิติคุณ กิติยากร เป็นต้น การบรรเลง “วงลายคราม” จึงเป็นโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสังสรรค์ในหมู่ผู้ที่ทรงคุ้นเคยอย่างสนุกสนาน สมาชิกท่านหนึ่งเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีน้ำพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ เพราะสมาชิกของวงมิใช่นักดนตรีอาชีพจึงไม่ชำนาญและมักเล่นดนตรีผิดๆ ถูก ๆ เป็นที่ขบขันยิ่งนัก แต่ไม่ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญกลับพอพระราชหฤทัยที่จะแนะนำ ทรงทำหน้าที่ “เอาใจ” นักดนตรีสมัครเล่นรุ่น “ลายคราม” เหล่านั้น ให้เป็นที่ครื้นเครงอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่ “วงลายคราม” บรรเลงอย่างไม่ยอมหยุด ครั้งหนึ่งขณะที่ประทับอยู่ ณ พระราชวังไกล กังวง หัวหิน “วงลายคราม” ก็ได้แสดงฝีมือบรรเลงดนตรีตลอดคืน และเมื่อรุ่งอรุณของวันใหม่นักดนตรีก็ลุกขึ้นตั้งแถว บรรเลงเพลงเดิน ชายหาดเพื่อรับลมทะเลและแสงอาทิตย์ยามเช้าอย่างครึกครื้นเป็นที่สนุกสนานยิ่ง
ระหว่างที่ประทับอยู่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. อัมพรสถาน ขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๙๕ เพื่อให้เป็นสื่อกลางที่ให้ความบันเทิงและสารประโยชน์ ในด้านต่าง ๆ สำหรับรายการเพลงสากล “วงลายคราม” ได้มีโอกาสไปส่งวิทยุกระจายเสียงร่วมกับวงดนตรีต่าง ๆ เช่น วงดนตรีเกษตร ซึ่งมีหม่อมเจ้าจักพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์วง มีนักดนตรีต่าง ๆ เข้าไปส่งกระจายเสียงเป็นที่สนุกสนาน ต่อมาได้โปรดเกล้า ฯ ให้นักดนตรีรุ่นหนุ่ม ๆ มาเล่นปนกับรุ่นลายคราม ซึ่งเล่นดนตรีไม่ค่อยไหวตามอายุ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดวงดนตรี “อ.ส. วันศุกร์” ขึ้น ปัจจุบันสถานี วิทยุ อ.ส. ได้ย้ายมาตั้งอยู่ในบริเวณสวนจิตรลดา
ลักษณะพิเศษของ “วงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ ” นี้คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร่วมบรรเลงกับสมาชิกของวง ออกอากาศกระจายเสียงทางสถานีวิทยุเป็นประจำทุกวันศุกร์ เป็นการเปิดโอกาสให้พสกนิกรได้ติดต่อกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ง่ายขึ้น ทรงจัดรายการเพลงและทรงเลือกแผ่นเสียงเองในระยะแรก บางครั้งก็โปรดเกล้าฯ ให้มีการขอเพลงด้วยและจะทรงรับโทรศัพท์ด้วยพระองค์เอง ในช่วงเวลาเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ขณะที่สถานีโทรทัศน์ยังไม่มีบทบาททางการบันเทิงมากเช่นในปัจจุบันนี้ “วงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ ” จึงมีส่วนสร้างความรื่นเริงในหมู่ประชาชนผู้สนใจในยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้เมื่อเกิดการณ์มหาวาตภัยแหลมตะลุมพุก ได้อาศัยวงดนตรี อ.ส. ประกาศชักชวนประชาชนบริจาคทรัพย์ สิ่งของ ฯลฯ ช่วยผู้ประสบภัย ท้ายสุดจึงกำเนิดมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์
สมาชิกของวงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ ได้แก่ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ นายอุทิศ ทินกร ณ อยุธยา หม่อมหลวงเสรี ปราโมช หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช นายแมนรัตน์ ศรีกรานนท์ นายไพบูลย์ ลีสุวัฒน์ นายเสนอ ศุขบุตร นายเดช ทิวทอง นายถาวร เยาวขันธ์ นายสุวิทย์ อังสวานนท์ นายนนท์ บูรณสมภพ นายกวี อังสวานนท์ นาวาอากาศเอก อภิจิตร สุขจันทร์ นายอวบ เหมะรัชตะ ส่วนนักร้อง ได้แก่ คุณหญิงสาวิตรี ศรีวิสารวาจา คุณหญิงจามรี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา คุณกัญดา ธรรมมงคล ท่านผู้หญิงสุวรี เทพาคำ คุณจีรนัท์ ลัดพลี และคุณพัลลภ สุวรรณมาลิก เป็นต้น
บทบาทที่สำคัญอีกประการหนึ่งของวงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ คือ บรรเลงในงาน “วันทรงดนตรี ” ตามที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้กราบบังคมทูลเชิงเสด็จ ฯ เพื่อทรงสังสรรค์ร่วมกับนิสิตนักศึกษาเป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งได้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่าสิบปี ในปัจจุบันเมื่อทรงมีพระราชกรณียกิจเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ประเพณีวันทรงดนตรีจึงได้ยกเลิกไป อย่างไรก็ตามได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้วงดนตรีจากสถาบันต่าง ๆ ทั้งราชการและเอกชน รวมทั้งนักเรียนและนิสิตนักศึกษาหมุนเวียนกันมาบรรเลงดนตรีเป็นประจำ ณ สถานีวิทยุ อ.ส. สวนจิตรลดา ความสนพระราชหฤทัยและพระมหากรุณาธิคุณสนับสนุนทางด้านดนตรีดังกล่าวนี้ มีส่วนสำคัญทำให้หน่วยงานทั้งราชการและเอกชนมีการพัฒนาวงดนตรีของตนให้ดีขึ้น และเป็นการให้กำลังใจแก่นักดนตรีทั้งหลายให้ขยายผลงานแพร่หลายต่อไปด้วย อาทิเช่นชมรมดนตรีโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ซึ่งได้เข้ามาบรรเลงเพลงออกกระจายเสียงเป็นประจำนานกว่า ๒๐ ปีแล้ว บางครั้งก็จะเสด็จ ฯ ลงมาทอดพระเนตร และแนะการเล่นดนตรีแก่นักเรียนนายร้อยที่เล่น “เพี้ยน” ด้วยความประหม่าด้วย ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า นักดนตรีหนุ่มชาว จ.ป.ร. เหล่านั้นแทบจะไม่ยอมหลับนอนเพื่อซ้อมเพลงพระราชนิพนธ์ที่ง่ายที่สุดให้ดีที่สุด ก่อนที่จะเข้าวังเป็นครั้งแรกในชีวิต ภายหลังปรากฏว่านักดนตรี จ.ป.ร. หลายคนได้มีโอกาสกลับมาเฝ้าฯ อีก เช่น อดีตหัวหน้าวงผู้หนึ่งได้มาถวายงานในฐานะราชองครักษ์ และสมาชิกอีกหลายท่านได้รับพระราชทานยศถึงชั้นพลเอกแห่งกองทัพบก
พระปรีชาสามารถในด้านการเป็น “ครู” นั้นจะเห็นได้จากการที่ทรงตั้งแตรวง “สหายพัฒนา” ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ โดยรวบรวมจากผู้ที่ปฏิบัติราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทและโดยเสด็จ ฯ ในการพัฒนาภูมิภาคต่างๆ เป็นประจำ เช่น นักเกษตรหลวงคณะแพทย์อาสาสมัคร ข้าราชบริพารในพระองค์ ราชองครักษ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยเล่นดนตรีมาก่อน แต่หลังจากที่ทรงใช้กลวิธีพิเศษส่วนพระองค์ โดยพระราชทานเวลาฝึกสอนเพียงเล็กน้อย ในช่วงเวลาทรงออกพระกำลังในตอนค่ำของทุกๆ วัน ก็ทรงตั้งแตรวงนี้ขึ้นสำเร็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นสมาชิกสมัครเล่นพระองค์แรกของวงนี้ แตรวง “สหายพัฒนา” สามารถบรรเลงดนตรีได้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ นับว่าเป็นประโยชน์ในการช่วยกระชับความสัมพันธ์ในหมู่นักพัฒนาอาสาสมัครของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริได้ดีอีกรูปแบบหนึ่ง
ความสนพระราชหฤทัยที่จะศึกษาและค้นคว้าอย่างลึกซึ้งด้านดนตรี จะเห็นได้จากการที่ทรงนำวิธีการบันทึกเสียงสมัยใหม่ ที่สามารถบันทึกเสียงได้เป็นช่อง (sound track) มาใช้ในการปรับปรุงวิธีการเล่นดนตรี และคุณภาพในการบันทึกเสียง ด้วยวิธีการนี้ จึงสามารถทรงเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้นในเพลงเดียวกัน เมื่อบันทึกเสียงเรียบร้อยแล้ว ก็จะทรงเปิดเทปฟังทบทวนอย่างละเอียดเพื่อวิจารณ์การบรรเลงในแต่ละครั้ง พร้อมทั้งแก้ไขและบันทึกเสียงใหม่ให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทรงมีความเชี่ยวชาญในเทคนิคการบันทึกเสียง ตลอดจนการใช้เครื่องมือกลไกอีเลคโทรนิคส์อันทันสมัยที่เกี่ยวกับการดนตรีด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใฝ่พระราชหฤทัยในการทรงดนตรีเป็นกิจวัตร ทรงซ้อมดนตรีเป็นประจำทุกค่ำวันศุกร์และวันอาทิตย์ ร่วมกับนักดนตรีวง อ.ส. วันศุกร์ ณ สถานีวิทยุ อ.ส. และเกือบทุกเย็นกับวงสหายพัฒนา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา เครื่องดนตรีทุกชิ้นทรงเก็บรักษาอย่างดี ทรงทำความสะอาดด้วยพระองค์เอง และเมื่อเสียก็มักจะทรงแก้ไขด้วยพระองค์เอง หรือพระราชทานคำแนะนำและวิธีการแก้แก่นายช่างทหารอากาศที่โปรดเกล้า ฯ ให้รับไปแก้ไข
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงตั้งแต่ยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช รวมบทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งสิ้น ๔๓ เพลง เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนอง แล้วจึงใส่คำร้องภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เอง มี ๕ เพลงคือ “Echo” “Still on My Mind” “Old-Fashioned Melody” “No Moon” และ “Dream Island ” นอกจากนี้มี ๒ เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองขึ้นภายหลังใส่ในคำร้อง คือ “ความฝันอันสูงสุด” และ “เราสู้” ผู้ที่โปรดเกล้าฯ ให้แต่งคำร้องประกอบเพลงพระราชนิพนธ์มีหลายท่าน ได้แก่ หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ศาสตราจารย์ ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา นายจำนงราชกิจ (จรัล บุณยะรัตพันธุ์) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เป็นต้น
ในยุคแรก หลังจากที่เพลงพระราชนิพนธ์มีทำนองและคำร้องสมบูรณ์แล้ว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน นำไปบรรเลงในวงดนตรีกรมโฆษณาการหรือวงสุนทราภรณ์ อันเป็นวงดนตรีที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นตามกาลเทศะอันควร เพื่อให้แพร่หลายทั่วไปปรากฏว่าหลายเพลงกลายเป็นเพลงยอดนิยมทั้งในในหมู่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ
เพลงพระราชนิพนธ์แต่ละเพลงนี้ล้วนแสดงออกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังเช่น “ยามเย็น” พระราชทานแก่สมาคมปราบวัณโรค เพื่อนำออกแสดงเก็บเงินบำรุงการกุศล “ใกล้รุ่ง” บรรเลงเป็นปฐมฤกษ์ในงานของสมาคมเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย “ยิ้มสู้” พระราชทานแก่โรงเรียนสอนคนตาบอด “ลมหนาว” พระราชทานในงานประจำปีของสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ “Kinari Suite” พระราชทานเพื่อใช้ประกอบการแสดงระบำบัลเลต์ชุดมโนราห์ เพื่อหารายได้สมทบทุนสภากาชาดไทย “พรปีใหม่” พระราชทานแก่พสกนิกรเนื่องในวันปีใหม่ “เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย” ” ความฝันอันสูงสุด” และ “เราสู้” พระราชทานแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ นอกจากนี้มีเพลงที่พระราชทานเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัย คือ “มหาจุฬาลงกรณ์” “ธรรมศาสตร์” และ “เกษตรศาสตร์” และพระราชทานแก่หน่วยทหารต่าง ๆ คือ “ธงชัยเฉลิมพล” “มาร์ชราชวัลลภ” และ “มาร์ชราชนาวิกโยธิน”
ทำนองเพลงพระราชนิพนธ์
“จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ”
“แสงเทียน”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ “แสงเทียน” เป็นเพลงแรกในแนวของเพลงบลูส์ ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของดนตรีแจ๊ส นักข่าวชาวอเมริกันได้กราบบังคมทูลถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักดนตรีแจ๊สจริงหรือไม่ และโปรดดนตรีประเภทใดมากที่สุด มีพระราชดำรัสตอบว่า “ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า จะเป็นแจ๊สหรือไม่ใช่แจ๊สก็ตาม ดนตรีล้วนอยู่ในตัวคนทุกคน เป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ใน ชีวิตคนเรา สำหรับข้าพเจ้า ดนตรีคือสิ่งประณีตงดงามและทุกคนควรนิยมในคุณค่าของดนตรีทุกประเภท เพราะว่าดนตรีแต่ละประเภทต่างก็มีความเหมาะสมตามแต่โอกาสและอารมณ์ที่ต่างๆ กันไป
เมื่อพูดถึงการเล่นดนตรีก็ต่างกันอีก ถ้าข้าพเจ้าเล่นเพลงคลาสสิก และมีใครทำเสียงดังอย่างงี้ ก็เป็นการรบกวน เพราะว่าดนตรีคลาสสิกต้องเล่นอย่างตั้งใจจริงจัง ข้าพเจ้าไม่ได้พักผ่อนเท่าไรนัก ต้องคอยระวังไม่ให้ผิดโน้ต และไม่ให้ใครมารบกวนข้าพเจ้า ถ้าหากว่าข้าพเจ้าต้องเล่นเพลงแจ๊ส ก็ดีกว่า เพราะว่าข้าพเจ้าเล่นทำนองได้ตามใจชอบ ตามที่รู้สึกในขณะนั้น ตามแต่อารมณ์และความนึกคิดของข้าพเจ้าจะพาไป ถ้าใครจะมาทำเสียงดังเวลานั้น ข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็นเสียงประกอบ และถ้าข้าพเจ้าเล่นผิดโน้ตก็เท่ากับว่า ข้าพเจ้าแต่งทำนองนั้นขึ้นเองในปัจจุบัน”
เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่ขณะประทับอยู่ ณ ประเทศ