พระอัจฉริยภาพด้านกีฬา แบบอย่างของปวงชนชาวไทย
เพราะ “กีฬา” คือยาวิเศษ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ… บทเพลงนี้ ถือว่ายังคงใช้ได้อยู่จริงมาจนถึงปัจจุบัน เพราะกีฬาหรือการออกกำลังกายถือเป็นยาวิเศษที่ทำให้ผู้ที่ออกกำลังกายมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญถ้าออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้คนเราปราศจากโรคภัยไข้เจ็บได้…
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” หรือ “ในหลวง” เองก็ทรงให้ความสำคัญกับการกีฬามิใช่น้อย…เห็นได้จากพระบรมราโชวาทในวันเปิดการแข่งขันกรีฑานักเรียนประจำปี วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 ที่ว่า
“…การกีฬานั้นนับเป็นอุปกรณ์การศึกษาที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการกล่อมเกลาให้เด็กมีจิตใจอดทน กล้าหาญ รู้แพ้รู้ชนะ ปลูกฝังพลานามัยให้แข็งแรง เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เด็กเป็นผู้มีสมรรถภาพ ทั้งในทางจิตใจและร่างกาย เป็นผลสืบเนื่องไปถึงการเป็นพลเมืองของชาติอันเป็นยอดแห่งความปรารถนา…”
พระบรมราโชวาทดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงต้องการส่งเสริมให้ประชาชนเห็นคุณค่าของกีฬามากขึ้น…ซึ่งหากย้อนกลับไปดูพระราชกิจวัตรด้านกีฬาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วล่ะก็!!! จะเห็นว่าพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านกีฬาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ซึ่งทรงโปรดมาตั้งแต่ครั้งยังประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็น กีฬาสกีน้ำ ว่ายน้ำ เรือกรรเชียง เรือพาย แบทมินตัน ยิงปืน กอล์ฟเล็ก การแข่งขันรถเล็ก เครื่องร่อน และที่ทรงโปรดปรานยิ่งนักคงจะเป็นกีฬาประเภท “เรือใบ” ซึ่งพระองค์ทรงศึกษาข้อมูลของกีฬาแต่ละประเภทอย่างละเอียด และทรงฝึกฝนจนปฏิบัติได้ดีเรื่อยมา…ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนในการศึกษาหาความรู้ต่างๆ
แต่ที่สำคัญและที่ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ที่ไม่มีวันจะลืมเลือนเห็นจะหนีไม่พ้น การที่พระองค์ทรงเข้าแข่งขันกีฬาเรือใบ กีฬาโปรด ในฐานะนักกีฬาประจำทีมชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาเหรียญทองครั้งที่ 4 ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ทรงได้รับเหรียญทองชนะเลิศ สร้างความปลื้มปิติให้แก่คนไทยทั้งชาติเป็นอย่างยิ่ง…นับเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ ที่พระองค์ทรงเฝ้าฝึกฝนมาเป็นอย่างดี…
ซึ่งกีฬาที่ทรงโปรดปรานนั้นไม่ได้เป็นกีฬาที่ใช้แต่พละกำลังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องอาศัยเทคนิคปฏิภาณไหวพริบ บวกกับความรู้ความสามารถที่พระองค์ทรงเฝ้าศึกษาทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงทำให้พระองค์ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน และด้วยเหตุที่พระองค์ทรงสนใจในกีฬาประเภท “เรือใบ” เป็นอย่างมาก บวกกับที่ทรงศึกษาหาอย่างลึกซึ้ง ต่อมาพระองค์จึงทรงคิดค้นและออกแบบ พร้อมทั้งสร้าง “เรือใบ” ได้สำเร็จด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก ซึ่งพระราชทานชื่อว่า “ราชปะแตน” หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงต่อขึ้นมาอีกเรื่อยๆ หลายลำด้วยกัน
แม้ว้าปัจจุบันพระองค์จะไม่ได้ทรง “เรือใบ” แล้วก็ตาม แต่จากพระราชกรณียกิจที่ผ่านมามากมาย ได้แสดงให้ชาวโลกประจักษ์แล้วว่า “ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดหรือประมุขชาติใดในโลกที่ทรงเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมและให้ความสำคัญต่อการกีฬา ตลอดจนสนับสนุนการกีฬาเทียบเท่าพระองค์ท่านได้เลย” ส่งผลให้คณะกรรมการโอลิมปิกสากลมีมติเป็นเอกฉันท์ ขอพระราชทานพระราชวโรกาสทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิกคือ “อิสริยาภรณ์โอลิมปิกสูงสุด (ทอง)” เมื่อ 14 ธันวาคม 2530 นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ทรงได้รับเกียรติยศดังกล่าว นอกจากนี้มหาวิทยาลัยมหิดลก็ได้ขอพระราชทานพระวโรกาสทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2534 อีกด้วย
ขนาด “ในหลวง” ของเราชาวไทย ยังให้ความสำคัญและทรงสนพระทัยในด้านกีฬาเช่นนี้ แล้วคนไทย…อย่างเราล่ะ!!! ควรที่จะเอาเป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา เพราะกีฬาถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่จะสามารถสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายและที่สำคัญทำให้ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ได้อีกด้วย ดังพระราชดำรัสที่ทรงให้ไว้ในการประชุมสัมมนาเรื่องการออกกำลังเพื่อสุขภาพ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2523 ที่ว่า
“. . ร่างกายของเรานั้น ธรรมชาติสร้างมาสำหรับให้ออกแรงใช้งาน มิใช่ให้อยู่เฉยๆ ถ้าใช้แรงให้พอเหมาะพอดีโดยสม่ำเสมอ ร่างกายก็จะเจริญแข็งแรง คล่องแคล่วและคงทนยั่งยืน ถ้าไม่ใช้แรงเลย หรือใช้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะเจริญแข็งแรงอยู่ไม่ได้แต่จะค่อยๆ เสื่อมไปเป็นลำดับ และหมดสมรรถภาพไปก่อนเวลาอันสมควร ดังนั้น ผู้ที่ปรกติทำการงานโดยไม่ได้ใช้กำลัง หรือใช้กำลังแต่น้อย จึงจำเป็นต้องหาเวลาออกกำลังกายให้พอเพียงกับความต้องการตามธรรมชาติเสมอทุกวัน . . .”
แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าทำมากก็ไม่ดี ทำน้อยไปก็ไม่ดี ซึ่งพระองค์ทรงตรัสไว้อีกด้วยว่า
“…การออกกำลังกายนั้น ถ้าทำน้อยไป ร่างกายและจิตใจก็จะเฉา ถ้าทำมากไปร่างกายและจิตใจก็จะช้ำ…”
โดยเป็นพระราชดำรัสพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร หลังการออกกำลังพระวรกายประจำวันเพื่อฟื้นฟูพระวรกายจากพระประชวร เมื่อปี 2525
ซึ่งจากพระราชดำรัสนี้ของพระองค์ ได้มีบุคคลผู้หนึ่งน้อมนำไปใช้ในชีวิตการเป็นครูมานานกว่าหลายปี ซึ่งเขาผู้นั้นคือ อาจารย์ศักดรินทร์ ธรรมวงศ์ สถาบันการพละศึกษา วิทยาเขตอุดรธานี ผู้ซึ่งออกกำลังกายอย่างพอดี และสม่ำเสมอทุกวันจนทำให้ร่างกายแข็งแรง
“พระราชดำรัสนี้คือหัวใจของวิทยาศาสตร์การกีฬาโดยแท้ ผมยึดถือปฏิบัติมานานหลายปี แม้ว่าจะเป็นครูสอนพละศึกษา เราก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพ กลับยิ่งต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักศึกษา ทุกวันนี้ผมจึงออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเทนนิส แบทมินตัน หรือ จ็อกกิ้ง และทำแต่พอดี ไม่มากไปไม่น้อยไปตามพระราชดำรัสของพระองค์ แล้วยังเผยแพร่ถึงคนใกล้ชิดด้วย” อาจารย์ศักดรินทร์เล่าด้วยความภูมิใจ
จากการที่เห็นพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง จึงทำให้หลายหน่วยงานต่างให้ความสำคัญเกี่ยวกับ “การออกกำลังกาย” มากขึ้น ด้วยการจัดแข่งขันกีฬาภายในหรือระหว่างองค์กร จัดสถานที่ไว้เพื่อเล่นกีฬา โดยหนึ่งในนั้นคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ที่ยึดแนวทางของพระองค์ท่านมาใช้ในการทำงานด้านส่งเสริมสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ เพื่อหวังให้คนไทยรักและใส่ใจในการออกกำลังกายตามรอยพระองค์ท่าน อีกทั้งยังทำหน้าที่รณรงค์ สร้างกระแสสังคมให้ตระหนักถึงกิจกรรมการออกกำลังกายและกีฬา อีกทั้งสนับสนุนกลไกและมาตรการส่งเสริมการออกกำลังกายทุกรูปแบบจนทั่วทั้งประเทศ และที่ขาดไม่ได้เลย!!! คือการสร้างองค์ความรู้ของการออกกำลังกาย เพื่อความเข้าใจให้แก่ประชาชนและสนับสนุนทุนในกิจกรรมกีฬาทุกรูปแบบอีกด้วย…
เนื่องในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า “วันพ่อแห่งชาติ” สสส. เองก็ขอเชิญชวนให้ประชาชนชาวไทย หันมาออกกำลังกายเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติให้แก่พระองค์ท่าน และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินรอยตาม “พ่อหลวง” ในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวท่านอย่างยั่งยืนต่อไป…
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
Update:03-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่