พระอัจฉริยภาพด้านการเกษตร

พระอัจฉริยภาพด้านการเกษตร

 

พระอัจฉริยภาพด้านการเกษตร 

            1.ทรงสร้างฐานข้อมูลของพื้นที่

 

            การเสด็จฯทั่วประเทศไทย นับตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จนิวัตประเทศไทยพร้อมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระบรมเชษฐาธิราช รัชกาลที่ 8 ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2489 ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จที่ทุ่งนาบางเขน ที่วัดพระศรีมหาธาตุ ทั้งสองพระองค์สนพระทัยอาชีพของชาวนามาตั้งแต่ครั้งนั้นที่เห็นชาวนาทำนา ปลูกข้าว เกี่ยวข้าว และพระองค์ยังทรงหว่านข้าว

 

            ต่อมาในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ซึ่งรัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุยเดชเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อพระชนมายุ 19 ชันษา และหลังจากนั้นทรงกลับไปเปลี่ยนแนวทางศึกษาหลังจากที่ได้ตัดสินพระราชหฤทัยที่เสด็จขึ้นครองราชย์ เสด็จฯไปเปลี่ยนแผนการศึกษาจากเดิมที่ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ด้านชลประทาน เปลี่ยนเป็นด้านการปกครองด้านรัฐศาสตร์และหลายๆ อย่าง

 

            ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 ทรงโปรดเกล้าฯให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้น และได้พระราชทานปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เป็นพระราชสัจวาจาที่ทรงยึดมั่นมาเป็นเวลา 56 ปีนับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

            ในการสร้างฐานข้อมูลพื้นฐาน พระองค์ท่านทรงเป็นเหมือนเด็กหนุ่ม ทรงประทับในต่างประเทศเหมือนฝรั่งไม่เคยเห็นเมืองไทยเลยเพราะฉะนั้นการที่จะมาทรงเป็นประมุขของประเทศ ท่านก็ต้องศึกษาเมืองไทยให้ละเอียด และวิธีการที่ดีที่สุดก็คือการเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในทุกภาคของประเทศไทยเพื่อให้ได้สัมผัสและทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ขอพระราชทานอนุญาตใช้คำสามัญว่า จะได้เห็นได้ฟังได้ชิม ได้สัมผัส เห็นฝุ่น เห็นทะเล ด้วยตาตนเอง

 

            ครั้งแรกที่เสด็จฯไปที่พระราชวังไกลกังวล ที่หัวหินและเสด็จฯไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี เพชรบุรี การที่เสด็จฯไปทรงงานทั่วประเทศทำให้ได้ทรงเห็นเมืองไทย รู้จักคนไทย มีความประทับใจ ทำให้เกิดแรงดลพระราชหฤทัยให้มีโครงการพระราชดำริขึ้นมา

 

            ช่วงที่เสด็จฯไปที่หัวหินสมัยก่อนอาจจะไปรถไฟต่อมามีถนนจึงเดินทางโดยรถยนต์ และได้ทอดพระเนตรเห็นป่ายางนาในช่วงอำเภอบ้านลาด จนถึงอำเภอท่ายาง จ.เพชรบุรี ขึ้นอยู่สองข้างทาง พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะเก็บป่ายางนาไว้แต่เนื่องด้วยมีเหตุขัดข้องทำให้ไม่สามารถรักษาป่าไว้ได้ จึงทรงโปรดให้มหาดเล็กเก็บเมล็ดพันธุ์ยางมาเพาะแล้วนำมาปลูกที่สวนจิตรลดา ปัจจุบันแปลงนายางนั้นยังอยู่แสดงให้เห็นว่าพระองค์สนพระทัยที่จะอนุรักษ์พันธุ์ไม้

 

            ในช่วงปี พ.ศ.2496-2498 เสด็จเยี่ยมเกษตรกรในภาคกลาง เสด็จฯโดยเรือพระที่นั่ง เสด็จฯไปตอนเช้าเย็นเสด็จฯกลับไม่ทรงประทับแรม มีครั้งเดียวที่เสด็จฯ ชัยนาทประทับบนเรือพระที่นั่งอยู่ครั้งเดียว

 

            ในวันที่ 2-20 พฤศจิกายน 2498 ทรงไปเยี่ยมภาคอีสานทุกจังหวัดเป็นเวลา 19 วัน เป็นครั้งแรกที่เสด็จฯภาคอีสาน พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะไปรถไฟ จากรถไฟต่อรถยนต์ จากรถยนต์ต่อเฮลิคอปเตอร์ไปภูกระดึง จากภูกระดึงมาประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ มาหนองคาย จากหนองคายมาลงเรือวิ่งตามลำน้ำชมน้ำโขงและนั่งรถยนต์ต่อ ผู้ที่เล่าตอนนั้นบอกว่าใกล้ฤดูหนาวเริ่มแล้งฝุ่นมาก เข้าใจว่าตอนนั้นรถยังไม่มีแอร์ ฝุ่นก็เยอะมาก

 

            ในระหว่างที่เสด็จฯจากนครพนมเพื่อเสด็จฯไปขอนแก่น ซึ่งจะต้องผ่านภูพานลงมาจากภูพานก็จะถึงสี่แยกสมเด็จ ตอนแรกไม่ได้จะเสด็จที่นี้แต่มีพสกนิกรมาเฝ้ารับเสด็จฯ ตอนนั้นแล้งมากข้าวในนาตายหมด พระองค์ตรัสถามชาวนาที่มาเฝ้ารับเสด็จฯว่าข้าวในนาตายเพราะแล้งใช่ไหม ชาวนาบอกว่าไม่ใช่ ตายเพราะน้ำท่วม ทำให้พระองค์ตระหนักได้ว่าเมืองไทยมีน้ำสมบูรณ์แต่ว่าน้ำไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ พอตกลงมาก็ท่วมสร้างความเสียหายแล้วน้ำก็ไหลลงแม่น้ำลำคลองไม่มีประโยชน์อะไร

 

            ทำให้ทรงมีแรงดลพระราชหฤทัยหลายเรื่องในจุดนั้น ท่านทรงมีพระราชดำริว่าบนภูพานมีแม่น้ำหลายสายน่าจะมีการทำฝายทดน้ำเล็กๆ เป็นขั้นๆ ต่อมามีการทำกันมาก เมืองไทยมีแหล่งเก็บน้ำธรรมชาติมาก จึงคิดว่าทำไมไม่ขุดบ่อในไร่นาขุดบ่อให้มีน้ำในไร่นา แต่น่าเสียดายว่าแหล่งน้ำธรรมชาติหลายแห่งถูกพัฒนาแต่พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่า ต่อมาการขุดบ่อน้ำในนาได้กลายมาเป็นอ่างเก็บน้ำเล็กๆ มากขึ้นหรือที่เรียกกันว่า “แก้มลิง” ที่ตอนนี้กรุงเทพฯมีอยู่ประมาณ 30 แก้ม

 

            อีกหนึ่งโครงการพระราชดำริที่สำคัญคือถึงจะเป็นหน้าแล้งแต่เมืองไทยก็มีเมฆขาวเต็มท้องฟ้า น่าจะมีวิธีการที่ทำอย่างไรให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาตามที่ต้องการแล้วต่อมาก็กลายเป็นโครงการฝนหลวง

 

            วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ถึง 17 มีนาคม พ.ศ.2501 เสด็จฯภาคเหนือทุกจังหวัด ยกเว้นจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทำให้มีแรงดลพระราชหฤทัยให้มีโครงการพระราชดำริช่วยเหลือชาวเขา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นโครงการหลวงในที่สุด เพราะเนื่องมาจากเห็นชาวเขาปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย

 

            วันที่ 6-26 มีนาคม 2502 เสด็จฯเยี่ยมภาคใต้ทุกจังหวัด ทรงประทับที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี ทำให้ทรงทราบว่าเมืองไทยนั้นมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่หลายจังหวัดมีประเพณีที่ต่างกับภาคอื่นและมีทะเลที่สวยงามมาก

 

            จากนั้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2502 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2510 เสด็จฯเยี่ยมมิตรประเทศกว่า 28 ประเทศ บางช่วงเสด็จถึง 6 เดือนเพื่อศึกษาความแตกต่างของประเทศที่เจริญแล้วว่ามีสิ่งใดบ้างที่ควรนำมาปรับปรุง ในสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่พยายามป้องกันไม่นำเข้ามา เป็นการผูกมิตรกับมิตรประเทศ

 

            2.ทรงเริ่มงานพัฒนา ประกอบด้วยอาชีพของประชาชน การพัฒนาป่าไม้ ดินและน้ำ

 

            นับตั้งแต่ปี 2512 เป็นต้นมา ตลอดเวลา 17 ปี พระองค์จะเสด็จฯแปรพระราชฐานไปเยี่ยมราษฎรในภาคต่างๆ ทุกปีจะหมุนเวียนไปทุกภาคเพื่อไปทรงงานต่อยอดงานในโครงการพระราชดำริทุกปี จากนั้นเป็นต้นมาไม่เคยเสด็จฯต่างประเทศอีกเลย กระทั่งปี 2517 จึงได้เสด็จฯไปประเทศลาวซึ่งมีโครงการสร้างสะพาน

 

            พระองค์ทรงมีเหตุผลของพระองค์ที่จะทรงใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนชาวไทย ทรงเริ่มงานพัฒนาเกี่ยวกับอาชีพและอาหารของประชาชน การเริ่มงานส่วนใหญ่ทรงแนะนำหน่วยราชการในช่วงนั้นที่รับพระราชดำริไปค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ แต่บางสิ่งบางอย่างเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีข้อมูลทันทีไม่เห็นด้วยแต่บางอย่างที่พระองค์สนพระทัยก็จะนำมาวิจัยมาพัฒนาของพระองค์เองที่พระตำหนักสวนจิตรลดา และพระตำหนักสวนอัมพร งานแรกที่เป็นงานพัฒนาอาหาร คือ ข้าว ปลา ผัก ผลไม้ เป็นอาหารหลักของคนไทยโดยเฉพาะเรื่องข้าวสนพระทัยมาก

 

            โครงการแรกคือ ทรงรับปลาหมอเทศมาจากปีนัง และทรงนำเลี้ยงที่พระตำหนักสวนจิตรลดาแล้วจากนั้นได้นำพันธุ์ปลาหมอเทศ 5 หมื่นตัวไปแจกแก่กลุ่มเกษตรกรที่บางเขนแล้วก็แพร่หลายออกไป แล้วต่อมาที่สวนจิตรลดาก็ได้ขยายออกมาเป็นสถานีทดลองส่วนพระองค์ และทุกปีในวันพืชมงคล จะโปรดเกล้าฯให้ประชาชนเข้าชมงานในนั้น

 

            ในปี 2503 ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่เลิกมาตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ที่ต้องฟื้นขึ้นมาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ จากนั้นทรงเริ่มมีระบบสหกรณ์ ธนาคารโคกระบือ ธนาคารข้าว การทดสอบการปลูกข้าวในสภาพดินต่างๆ เป็นการทดลองในสภาพพื้นที่เช่นภาคเหนือที่มีการทดลองปลูกข้าวแบบขั้นบันได

 

            ในปี พ.ศ.2505 ทรงเริ่มโครงการโคนม ที่สวนจิตรลดา ตามพระราชประวัติของพระองค์เมื่อทรงเรียนอนุบาลมีพระชนมายุ 5 ชันษา ที่โรงเรียนมาแตร์เดอี สมเด็จพระราชชนนีจะโปรดเกล้าฯให้พระองค์และสมเด็จพระเชษฐา สะพายนมสดไปเสวยที่โรงเรียนทุกวัน เพราะอยากให้คนไทยร่างกายแข็งแรงแบบฝรั่ง เป็นแนวคิดในการส่งเสริมให้เลี้ยงโคนม

 

            ในปี พ.ศ.2509 มกุฎราชกุมารประเทศญี่ปุ่นได้พระราชทานพันธุ์ปลานิลเป็นปลาที่กลายพันธุ์มาจากปลาหมอเทศ เติบโตเร็วกว่าอร่อยกว่าให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและต่อมาพระองค์ได้เพาะเลี้ยงกลายพันธุ์เป็นปลาทับทิมที่แพร่หลายอยู่ในตอนนี้ เผยแพร่ไปทั่วประเทศ

 

            ต่อมาเป็นการพัฒนาป่าไม้และดิน ในปี 2512 พระองค์เห็นสภาพปัญหาของชาวเหนือที่มีชาวเขาอาศัยอยู่หลายเผ่า ชาวเขามักจะถางป่าทำไร่เลื่อนลอยแล้วทำให้ต้นน้ำลำธารมีปัญหาแล้วเป็นน้ำที่คนพื้นล่างใช้ พระองค์เริ่มโครงการพัฒนาชาวเขาหาทางปลูกพืชอะไรก็ได้แทนการปลูกฝิ่นและรายได้ดี หยุดการทำไร่เลื่อนลอย ขณะเดียวกันก็ปลูกป่าเพิ่ม ต่อมาปี 2513 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นโครงการหลวงซึ่งดำเนินงานต่อมาถึงปัจจุบัน

 

            แนวพระราชดำริด้านป่าไม้ที่ทรงแนะนำ คือ 1.ให้สร้างฝายต้นน้ำขนาดเล็ก ทางเหนือเรียกว่าฝายแม้ว 2.การปลูกป่าโดยไม่ต้องไปถางหรือท่านใช้คำว่า “ห้ามปอกเปลือกป่า” ปล่อยให้ขึ้นเอง การปลูกต้นไม้ 3 อย่าง เพื่อประโยชน์ 4 อย่าง 1.ไม้ผล 2.ไม้ใช้สอย 3.ไม่ทำเชื้อเพลิง และ 4.เป็นการอนุรักษ์ดินและน้ำ การปลูกไม้ผลบนยอดเขาเมล็ดของมันจะแพร่พันธุ์ไปเอง

 

            ทางด้าน ดิน พระองค์ทรงมีโครงการพระราชดำริแกล้งดินในภาคใต้ เนื่องจากดินส่วนใหญ่เป็นดินพรุเป็นกรดทำให้ดินเปรี้ยว พระองค์ทรงใช้วิธีการทำให้ดินหายเป็นกรดคือต้องทำให้เปรี้ยวสุดสุดแล้วแก้หนเดียว โดยเริ่มทำครั้งแรกที่ศูนย์พิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส จะเห็นว่าพระองค์จะไม่แนะนำเรื่องสารเคมีเลย

 

            เมื่อเกิดปัญหาหน้าดินถล่มในปี พ.ศ.2532 ทรงแนะนำเรื่องหญ้าแฝกเพราะว่าปีนั้นมีโครงการดอยตุงมีผู้หวังดีไปตัดถนนใหม่เป็นทางตรง ปรากฏว่าดินถล่มลงมากลบนาชาวบ้าน พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้ปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการชะล้างและการพังทลายของหน้าดินและยังช่วยบำรุงดินเป็นปุ๋ยพืชสด

 

            โครงการน้ำ แห่งแรกที่พระองค์ริเริ่มเมื่อปี 2506 การทำโครงการเก็บน้ำเขาเต่าที่หัวหินเป็นโครงการแรกเลย โดยการทำเขื่อนกั้นไม่ให้น้ำทะเลเข้าแล้วเอาน้ำจืดจากเขามาใช้ประโยชน์เลี้ยงปลาทำการเกษตรได้ มีพระราชดำริอย่างหนึ่งว่า การสร้างเขื่อนดีแน่ แต่การสร้างเขื่อนใหญ่ๆ มักใช้เงินมากต้องกู้เงินมาสร้าง มีประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้า กันน้ำท่วมได้ แต่ประโยชน์ที่เกษตรกรรายย่อยได้รับทันทีน้อยเพราะว่าการทำต้องทำคลองส่งน้ำและไม่มีเวลาที่จะทำให้แนวพระราชดำริของพระองค์ท่านคือทำเขื่อนตามแม่น้ำและคลองขนาดเล็กเพื่อสร้างเขื่อนขนาดเล็ก

 

            3.ทรงสร้างฐานส่งกำลังบำรุงแบบทหาร

 

            การทำงานต้องมีฐานกำลังสนับสนุน เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จฯไปทรงงานไปต่างจังหวัดสมัยก่อนจะทรงไปประทับที่บ้านผู้ว่าราชการจังหวัด ศาลากลางไม่มีที่ประทับในตอนนั้น ฉะนั้นจึงได้มีการสร้างตำหนักขึ้นมาในภาคกลางก็จะมีที่ประทับที่พระราชวังไกลกังวลพระตำหนักเปี่ยมสุข เป็นฐานที่ทำงานในภาคกลางตะวันออกตะวันตก ในภาคเหนือสร้างพระตำหนักภูพิงค์ ภาคใต้สร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ และที่ภาคอีสานสร้างตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ถือว่าเป็นฐานที่ทรงไปปฏิบัติงานประจำปีเพื่อสามารถขยายผลได้อีก

 

            ในปี พ.ศ.2522 ทรงสร้างศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาด้านการเกษตร 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการทำงานของหน่วยงาน เพื่อประชาชนในท้องถิ่นสามารถนำไปใช้ได้ทันที เป็นพิพิธภัณฑ์ของสิ่งมีชีวิต เป็นศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Service เป็นศูนย์ที่ตั้งก่อนธนาคารและอำเภอจะทำเสียอีก นอกจากนี้ยังมีมูลนิธิชัยพัฒนาเป็นมูลนิธิส่วนพระองค์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ในเหตุการณ์เร่งด่วน เพราะบางโครงการกว่าจะรอรัฐบาลอนุมัติก็ใช้เวลานานเป็นปี

 

            โครงการทฤษฎีใหม่เป็นการบริหารจัดการดิน น้ำ พืช ทุน แรงงาน ให้มีประสิทธิภาพ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ทรงรับสั่งครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2537 และรับสั่งอีกครั้งในวันที่ 4 ธันวาคม 2538 ในช่วงนั้นเกิดฟองสบู่แตกประชาชนประชาชนเริ่มหันไปสนใจแนวพระราชดำริทฤษฎีใหม่มากขึ้น กระทั่งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 เป็นพระราชดำรัสของพระองค์ครั้งหลังสุด

 

            ขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระองค์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ที่รับสั่งว่า ” เราก็ต้องขอให้พรทุกฝ่าย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ได้พร้อมใจทำอะไรก็ทำให้ดี แต่วันนี้ไม่พูดว่าให้ทำอะไรเพราะว่าจะทะเลาะกันไม่เอา ไม่ให้ทะเลาะกัน ให้ทำอะไรที่ดูดี แล้วคิดให้อย่าเกิน อย่าเลยเถิด แต่ถ้าแต่ละคนทำงานให้เหมาะสมบ้านเมืองถึงจะไปได้ ถึงจะต้องให้พรว่าให้บ้านเมืองไปได้ให้แต่ละคนไปได้ ไม่ใช่ให้มีการหัวชนฝา จะทำอะไรก็ขอให้แต่ละคนมีความสำเร็จ พอสมควร เศรษฐกิจพอเพียงคือทำให้พอเพียง ถ้าไม่พอเพียงก็ไปไม่ได้ แต่ถ้าทำพอเพียงสามารถนำพาประเทศไปได้ ก็ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จพอเพียงเพื่อให้บ้านเมืองบรรลุความสำเร็จที่แท้จริง ขอให้รู้ว่าคนที่รับพรก็รับไปคนที่ไม่รับพรก็คิดในใจ ขอบใจท่านทั้งหลายที่มาให้พรเราเราขอรับพรท่าน”

 

 

 

 

 

 

ที่มา: สำนักข่าวแห่งชาติ

 

 

 

Update: 1-12-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

Shares:
QR Code :
QR Code