พม.-สสส. ระดม “อาสาสร้างสุข”ส่งมอบความรักในเทศกาลวาเลนไทน์
เผยเด็กกำพร้าไทยสูงถึง 800,000 คน พม.-สสส. ระดม “อาสาสร้างสุข” ใช้เทศกาลวาเลนไทน์ส่งมอบความรัก ขับเคลื่อนงานจิตอาสา พร้อมผลักดันสร้างคู่มือการจัดการช่วยบุคลากรและอาสาสมัคร ทำงานจิตอาสาสร้างสุขแก่เด็ก
วันที่ 12 ก.พ.55 เวลา 10.00 น. ที่ หอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์ กรุงเทพฯ) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) มูลนิธิสุขภาพไทย สหทัยมูลนิธิ และเครือข่ายพุทธิกา เปิดตัวโครงการ “พลังอาสาสมัคร สร้างสุขให้เด็กในสถานสงเคราะห์” พร้อมจัดกิจกรรมนวดสัมผัสมอบความรักแก่ทารก จัดทำของขวัญมอบแก่เด็กในสถานสงเคราะห์ เนื่องในโอกาสวาเลนไทน์ และร่วมเชิญชวนเป็นอาสาสมัครสร้างสุข
นางสาวรสนา โตสิตระกูล กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทยและสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เด็กด้อยโอกาสในสถานสงเคราะห์ หากไม่ได้รับความรักในวัยแรกเริ่มของชีวิตก็มีโอกาสเติบโตเป็นโรคขาดรัก และพฤติกรรมของคนที่เป็นโรคขาดรักจะแสดงออกด้วยพฤติกรรมต่อต้านสังคมและการใช้ความรุนแรง ดังที่เราได้เห็นว่าในปัจจุบันอาชญากรรมในเด็กที่อายุน้อยมีมากขึ้นเรื่อย ๆ มูลนิธิสุขภาพไทยมีบทบาทในการจัดทำโครงการสัมผัสกาย สัมผัสรัก (อาสานวดเด็ก) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 นับเป็นปีที่ 11 พบว่า การนวดสัมผัสเด็ก จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสมองที่ดี มีสุขภาพทางกายและจิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะการสัมผัสจะเป็นการสื่อสารทางกายที่แสดงออกได้ถึงความรัก เด็กก็จะเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และมีภูมิคุ้มกัน ไม่เป็นโรคขาดรัก
“สำหรับการเปิดรับอาสาสมัครเพิ่มเติมนั้น จะเป็นการสร้างพื้นที่ เพิ่มช่องทาง โอกาสให้ผู้มีจิตอาสาเสียสละเวลามาทำประโยชน์ให้กับสังคม ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาคประชาชน เชื่อว่าในสังคมมีอาสาสมัครจำนวนมากที่ต้องการเข้ามามีส่วนในการทำความดีให้สังคม ซึ่งจะช่วยให้เกิดสุขภาวะทางสังคม การมีสุขภาวะทางสังคมที่ดีจะส่งผลให้สุขภาวะของปัจเจกดีขึ้นด้วย” นางสาวรสนา กล่าว
นางรชธร พูลสิทธิ์ ผอ.สำนักคุ้มครองสวัสดิภาพหญิงและเด็ก กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พม.กล่าวระหว่างการเสวนา“อาสาสร้างสุขให้เด็กในสถานสงเคราะห์”ว่า กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการมีสถานสงเคราะห์เด็กอ่อน จำนวนประมาณ 29 แห่ง แต่มีเจ้าหน้าที่รวมถึงอาสาสมัคร ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณเด็กอ่อนเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งเป็นกลุ่มอายุใกล้วัยเกษียณ ฉะนั้น การจัดการความรู้และการวิจัย จะเป็นกระบวนการสำคัญ ให้เกิดงานที่มีคุณภาพและความสุข ช่วยทำให้ผลการทำงานเกิดความสมบูรณ์มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล นอกจากนี้ จะนำกระบวนการวิจัยในงานประจำ ( Routine to Research (R2R)) เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำมาใช้ควบคู่กันด้วย เพราะการเลี้ยงดูเด็กสามารถทำเป็นองค์ความรู้ และสามารถพัฒนาต่อยอดได้
“ตามหลักสากล เจ้าหน้าที่ 1 คน ดูแลเด็ก 4 – 5 คน แต่ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ในสถานสงเคราะห์ 1 คน ต้องดูแลเด็ก 20 คน ดังนั้น การเชิญชวนให้เกิดอาสาสมัครเพิ่มมากขึ้น จะสามารถช่วยดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์ ให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่ได้ดีขึ้น เกิดพัฒนาการ สุขภาพกาย-ใจ ที่ดี ตามช่วงวัย และเกิดเป็นคนดีในสังคมต่อไป”นางรชธร กล่าว
ด้าน นางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่า จากฐานข้อมูลสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล รายงานสุขภาพคนไทย พ.ศ. 2551 ชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยมีสมาชิกรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในสถานะของ “เด็กกำพร้า” ประมาณ 800,000 คน โดยถูกทอดทิ้งในโรงพยาบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก และที่สาธารณะ เหตุจากแม่ในวัยเรียน และแม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ต้องได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทางด้านการศึกษาและความรัก สสส.จึงได้พยายามส่งเสริม สนับสนุนการสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว เกิดความอบอุ่น มีสุขภาวะที่ดี เพื่อช่วยป้องกันและลดปัญหาความไม่พร้อมที่จะนำมาสู่ปัญหาอื่น ฉะนั้น การสร้างระบบอาสาสมัครในสถานสงเคราะห์เด็กและเยาวชนอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้สามารถเกิดการทำงานอย่างยั่งยืน พร้อมเป็นการสร้างต้นแบบ รูปแบบการทำงาน ด้วยการวิจัยจนได้เป็นคู่มือและเครื่องมือระบบอาสาสมัครในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
ที่มา:สำนักข่าว สสส.