พบนักเที่ยวกว่าครึ่งละเมิดสูบบุหรี่ในผับ บาร์
แม้กฎหมายเกี่ยวกับการห้ามสูบบุหรี่ในสถานบันเทิง ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของผู้คนจำนวนมากจะมีผลบังคับใช้มานาน แต่ไม่ได้หมายความว่าในสถานบันเทิงประเภทผับและบาร์เหล่านี้จะเป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ผลการวิจัย เรื่อง “บุหรี่ในสถานบันเทิง จากนโยบายสู่การปฏิบัติ : การประเมินการบังคับใช้กฎหมาย การนำนโยบายไปปฏิบัติและรูปแบบการสูบและการขายในสถานบันเทิง” เพื่อประเมินผลของมาตรการทางกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 สถานการณ์ สภาพปัญหา เพื่อนำไปปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย โดยทำการสำรวจในกลุ่มผู้ประกอบการลูกจ้างในสถานประกอบการ และนักเที่ยวในสถานประกอบการในพื้นที่ กรุงเทพฯ 3 แห่ง คือ อาร์ซีเอ เกษตรนวมินทร์ ถนนข้าวสาร และพัทยา เมื่อปี พ.ศ. 2553
โดย รศ.ดร.พิมพวัลย์ บุญมงคล หัวหน้าศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณสุขสวัสดิการและสังคม คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า สถานบันเทิงที่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในสถานบันเทิงมีประมาณครึ่งหนึ่ง และเมื่อสำรวจในนักเที่ยวมีผู้ที่ปฏิบัติตามกฎหมายครึ่งหนึ่งเช่นกัน พบว่าผู้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยไม่สูบในสถานบันเทิงมี 46% ยังสูบเป็นบางครั้ง 47% สูบเป็นประจำ 6%
รศ.ดร.พิมพวัลย์ กล่าวว่า นักเที่ยวที่สูบบุหรี่ในสถานบันเทิงพบว่า เลือกสูบบุหรี่ซิกาแรต/ก้นกรองถึง 86.6% และมีนักเที่ยวจำนวนหนึ่งเลือกสูบบารากู่ 12.9% และมีเพียง 7% ที่สูบบุหรี่มวนเอง โดยพบว่านักเที่ยวยังสามารถหาซื้อบุหรี่ได้จากร้านรอบ ๆ สถานบันเทิง รวมถึงแผงลอย หาบเร่ และมีการขายในสถานบันเทิงเองด้วย ซึ่งมีรูปแบบของการส่งเสริมการขายจำนวนมาก เช่น การใช้พริตตี้ขายบุหรี่ การลดแลกแจกแถม ทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายด้วย แต่กลับไม่พบการบังคับใช้กฎหมายในสถานบันเทิงเนื่องจากการกระทำผิด พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ไม่สูบบุหรี่ และ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ทำให้เห็นได้ว่า ยังต้องมีการปรับปรุงในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพโดยการมอบอำนาจให้แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งต้องตรวจสอบในประเด็นอื่น ๆ อยู่แล้ว ระเดนอน ๆ อยูแลว เป็นผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย
“พบว่า การสูบบุหรี่มวนแรกของผู้หญิง ทดลองเริ่มต้นในสถานบันเทิงถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดนักสูบหญิงหน้าใหม่ขึ้น ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายพบว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการยินดีปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังพบปัญหาในทางปฏิบัติคือ เมื่อไม่มีกฎหมายปรับผู้สูบบุหรี่ในที่ต้องห้าม ทำให้สถานประกอบการไม่กล้ามีปัญหากับลูกค้าที่ละเมิดกฎหมายเพราะกระทบต่อกิจการ นอกจากนี้ยังพบว่าการกำหนดสถานที่สูบบุหรี่ในทางปฏิบัติการจัดหาที่ตามที่กฎหมายระบุสามารถทำได้ยาก และยังทำให้ควันบุหรี่รบกวนผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ได้อยู่”
ขณะที่ ผศ.ดร.เชษฐ์ รัชดาพรรณาธิกุล นักวิจัยในโครงการฯ กล่าวว่า สำหรับผลการสำรวจการบังคับใช้กฎหมายในสถานบันเทิงเขตกรุงเทพมหานครมีระดับความสำเร็จ ปานกลาง 67.7% ส่วนสถานบันเทิงในเมืองพัทยา มีระดับความสำเร็จระดับปานกลาง 59.5% โดยสถานบันเทิงที่มีลักษณะเป็นแบบปิด (สถานที่ที่มีระบบปรับอากาศ) ส่วนใหญ่มีระดับความสำเร็จปานกลาง 70.6% ส่วนสถานบันเทิงแบบเปิด (สถานที่ที่ไม่มีระบบปรับอากาศ) มีความสำเร็จ 48% ซึ่งประเด็นที่สถานบันเทิงส่วนใหญ่สามารถนำนโยบายไปปฏิบัติได้สำเร็จมากที่สุดได้แก่ การจัดให้มีเครื่องหมายที่เป็นเขตสูบบุหรี่หรือเขตปลอดบุหรี่ การไม่จัดอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้การสูบบุหรี่ ส่วนประเด็นที่ไม่สามารถนำนโยบายไปปฏิบัติได้มากที่สุด ได้แก่ การไม่สามารถทำให้ในบริเวณเครื่องหมายเขตปลอดบุหรี่ในสถานบันเทิงไม่มีการสูบบุหรี่เลย
ด้าน ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การละเมิดกฎหมายส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยนักเที่ยว โดยผลจากงานวิจัยดังกล่าวซึ่งทำทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จะนำไปสู่การกระตุ้น เพื่อทำให้มาตรการคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ จำเป็นต้องพิจารณาในเรื่องผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายในด้านอื่นมากกว่าจะจับปรับในส่วนของผู้ละเมิดจากการสูบบุหรี่ และสถานที่สูบบุหรี่ตามประกาศทั้งนี้มีผู้ละเมิดกฎหมายครึ่งหนึ่ง โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่พบว่าจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกว่าปกติ การเฝ้าระวังเพื่อให้นักเที่ยวปฏิบัติตามกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้การคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุอัคคีภัยได้อีกด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์