ฝึกจิตอาสาเด็กด้วย ‘ขยะ’
เพราะความเชื่อที่ว่า การปลุกจิตสำนึกของเด็กให้รักธรรมชาติ และตระหนักถึงการเสียสละเพื่อส่วนรวมสามารถทำได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ชุมชนเล็กแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก จึงเลือกที่จะผลักดันกิจกรรมเก็บขยะในแหล่งน้ำให้เป็นกิจกรรมตัวอย่างสำหรับสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นในหมู่เด็กๆ
เด็กหญิงชาย 4 คน ได้แก่ ด.ช.กฤษดาสุขสว่าง (ก้าน) ประธานนักเรียนโรงเรียนป่าไม้อุทิศ 6 ด.ญ.สุธิสา มะลิวงศ์ (ดาว) ด.ญ.ปาลิตา นิ่มนง(เฟื่อง) และ ด.ญ.ศศิธร มาแจ้ง (นิว) คือ 4 คนที่ถูกคัดเลือกมาทำกิจกรรมเก็บขยะในลำน้ำครั้งนี้ร่วมกับผู้ใหญ่ในชุมชนนับร้อยชีวิต
ก่อนที่การเก็บขยะจะเริ่มขึ้น ณัฐวัฒน์ วัฒนาประสิทธิ์ ประธานชมรมรักษ์ลำน้ำเข็ก ได้เล่าให้เห็นถึงภาพของลำน้ำแห่งนี้ว่า “ก่อนหน้านี้ บริเวณน้ำตกมีแต่เศษแก้ว ขวดเหล้า ขวดเบียร์ ถุงพลาสติกรวมไปถึงขยะอื่นๆ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวแบบไม่รับผิดชอบ ขณะที่คนท้องถิ่นก็มองว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ธุระที่ตนเองจะลงไปจัดการ จึงไม่ช่วยกันรักษาลำธารปล่อยให้ปัญหาหมักหมมมาเป็นเวลานาน”
หลังจากการก่อตั้งขึ้นของชมรมฯ และเริ่มปฏิบัติการเก็บขยะ สภาพแวดล้อมของลำน้ำก็เริ่มดีขึ้น แต่ประธานชมรมแห่งนี้ก็มองการณ์ไกลมากขึ้นไปอีก โดยเล็งเห็นว่ากลุ่มเด็กและเยาวชน คือ บุคคลสำคัญที่ควรได้รับการปลูกฝังเรื่องการช่วยเหลือสังคม และตอบแทนธรรมชาติที่เขาอาศัยอยู่ นั่นจึงเป็นที่มาของการดึงโรงเรียน และเด็กๆ ในชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมรักษาลำน้ำแห่งนี้ด้วย
อีกทั้งเขายังมองว่า คนทั้งชุมชน ก็คือครอบครัวขนาดใหญ่ที่อาศัย และใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน การเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เห็นคุณค่าของธรรมชาติในท้องถิ่นที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็เท่ากับเป็นการยืดอายุ และความสวยงามของแหล่งน้ำตามธรรมชาตินี้ไว้ให้นานยิ่งขึ้น
ด้าน น้องก้าน – ด.ช.กฤษดา กล่าวว่า “ครอบครัวก็สนับสนุนให้เราทำกิจกรรมนี้ ซึ่งทางบ้านเองก็มีการแยกขยะด้วย ขณะที่โรงเรียนของเรานั้น นอกจากเก็บขยะรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังพลิกขยะให้เป็นทอง โดยการนำแก้วพลาสติกหรือสิ่งของที่สามารถนำไปประยุกต์ได้ไปขายและนำเงินมาพัฒนาโรงเรียน ซึ่งการที่พวกเราทำโครงการนี้ เราก็หวังว่าโรงเรียนอื่นจะมาร่วมโครงการกับพวกเราสักวันหนึ่ง”
ขณะที่อาสาสมัครเก็บขยะอย่าง ครูนกจันทรา แตงสมุทร ผู้ประสานงานโครงการอาสาสมัครในสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด เผยว่า จิตอาสาสามารถสร้างได้ตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องจากวัฒนธรรมของคนส่วนใหญ่ในสังคมมักมองปัญหาสิ่งแวดล้อมว่าไม่ใช่ธุระของตนเอง จึงทำให้หลายคนไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมตามที่ควรจะเป็น
และจากการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในอาสาสมัครล่องแก่งเก็บขยะลำน้ำเข็กครั้งนี้ เธอยอมรับว่าตลอดลำน้ำที่ล่องแก่งเก็บขยะกันนั้น ผู้ใหญ่หลายคนได้เห็นความตั้งใจและจิตที่เป็นกุศลของเด็กๆ ที่เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้อย่างเด่นชัด
“สิ่งหนึ่งที่เด็กกลุ่มนี้สะท้อนให้ผู้ใหญ่อย่างเราๆ เห็นได้อย่างชัดเจนคือ จิตที่คิดจะให้ และพื้นฐานทางจิตใจ สิ่งแวดล้อม ครอบครัว ที่บ่มเพาะพวกเขามาโดยตลอด”
อย่างไรก็ดี การจะฝึกให้ลูกสนุกกับกิจกรรมนั้น พ่อแม่ต้องทำให้เด็กสนุกเสียก่อน ยกตัวอย่างเช่น ไม่ควรห้ามหากลูกจะเข้ามาช่วยเหลือ หรือช่วยหยิบจับอุปกรณ์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ “ทักษะในการใช้ชีวิต” หากเป็นเด็กเล็ก การที่เขาเริ่มจับไม้กวาดได้ ก็ควรปล่อยให้เขากวาดตามประสาเด็กๆ แม้มันจะเป็นการเล่น แต่หากเราสอนให้เริ่มทำเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อเขาเริ่มทำได้ เขาจะเกิดความภูมิใจในตนเอง
“การเปิดโอกาสให้เขาลองทำนั้น วันหนึ่งเขาก็จะสามารถทำได้ และกลายเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบในตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นพื้นฐานให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือสังคมได้ต่อไป” ครูนกกล่าว
ด้าน นริศรา อารมณ์ชื่น เจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขภาพไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาสาสมัครล่องแก่งเก็บขยะลำน้ำเข็ก เผยว่า เรื่องอาสาสมัคร หากไม่มีใจที่จะทำก็เป็นเรื่องยาก ถ้าพ่อแม่ไม่เป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ลูก
“พ่อแม่สมัยนี้มุ่งเน้นแต่เรื่องความเก่งที่มาจากภายนอกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาการหรือความสามารถพิเศษ แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ควรมองข้ามกิจกรรมสร้างสรรค์จิตอาสา เพราะกิจกรรมเหล่านี้พร้อมที่จะฝึกให้ลูกๆ ของคุณมีทักษะในชีวิต และเป็นที่พร้อมจะเสียสละเพื่อสังคมค่ะ” นริศรากล่าวปิดท้าย
ที่มา: หนังสือพิมพ์astv ผู้จัดการ
update 15-07-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก