“ผู้ป่วยจิตเวช”ต้องเข้าถึงบริการรักษา
ที่มา : เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
แฟ้มภาพ
“กรมสุขภาพจิต” ย้ำผู้ป่วยจิตเวช ต้องเข้าให้ถึงบริการ รักษาให้ต่อเนื่อง วอนสังคม งดแชร์ภาพ ตอกย้ำความเจ็บป่วย
นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคทางจิตเวชเป็นโรคเรื้อรังและเป็นโรคทางสมองอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ป่วยควบคุมตนเองได้ไม่ดี ซึ่งต้องดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ยิ่งเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ ได้เร็วเท่าไร ยิ่งดี และเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สามารถใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนและสังคมได้ตามปกติ หัวใจสำคัญในการดูแลและอยู่ร่วมกับผู้ป่วยจิตเวช จึงอยู่ที่การดูแลไม่ให้ขาดยาเป็นอันขาด ตลอดจน ครอบครัว ชุมชนและสังคมต้องเข้าใจและยอมรับ ว่า การเจ็บป่วยทางจิต ไม่ต่างจากการป่วยทางกาย ที่ต้องได้รับการดูแลรักษาเช่นกัน จึงต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ตลอดจน ลดอคติ ไม่รังเกียจ ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ส่งเสริมให้พวกเขาเข้าถึงการรักษา ให้กำลังใจและให้โอกาสใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง อธิบายว่า เพราะหากเกิดสภาพแวดล้อมที่แปลกแยก หรือ กดดัน กีดกัน รังเกียจ จะยิ่งเพิ่มปัญหาต่อการรักษามากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ป่วยเกิดความกดดัน ปลีกตัว อาการกำเริบ หรืออาละวาดขึ้นมาได้ จึงควรให้ผู้ป่วยจิตเวชทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกในครอบครัว เพื่อไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว เกิดความเพลิดเพลิน ที่สำคัญ คือ อย่าให้ผู้ป่วยใช้สารเสพติด โดยเฉพาะยาบ้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะทำให้อาการทางจิตกำเริบรุนแรงมากยิ่งขึ้น ก่อเหตุรุนแรงขึ้นได้
อธิบดีกรมสุขภาพจิต แนะนำว่า ให้สังเกตสัญญาณเตือนอาการทางจิตกำเริบ คือ นอนไม่หลับ หงุดหงิด มีความคิดแปลกๆ มีพฤติกรรมก้าวร้าว หวาดกลัว ฉุนเฉียวง่าย ให้รีบพาไปพบแพทย์หรือโทรปรึกษาที่สายด่วน 1323 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง และ หากพบเห็นผู้ที่มีความผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจเจ็บป่วยทางจิต ข้อสังเกตเบื้องต้น คือ ผู้ป่วย จะมีความคิด พฤติกรรมที่ผิดปกติ ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ มีลักษณะท่าทาง สีหน้า แววตา ที่แตกต่างจากคนทั่วไป หากพบขอให้หยุดนิ่ง เพื่อไม่ให้เป็นสิ่งเร้าไปกระตุ้นให้เกิดอาการหรือปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรง
ภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 สามารถโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สายด่วน 1669) เพื่อนำตัวเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาได้ ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสังคมจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ป่วยจิตเวช ขณะเดียวกันเป็นการคุ้มครองผู้ป่วยจิตเวชให้ได้รับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้อง ตลอดจน ขอวอนสังคม ไม่ส่งต่อหรือเผยแพร่ภาพหรือข้อมูลใดๆ ของผู้ป่วยไม่ว่าจะด้วยช่องทางหรือวิธีใดก็ตาม เพราะยิ่งเป็นการซ้ำเติม สร้างความอับอาย ตอกย้ำตราบาปให้กับผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น