“ผักไร้สาร” สไตล์คนเมืองปลูกเองได้…ไม่ยาก
เมื่อพูดถึงการ “ปลูกผัก” หลายคนอาจจะยังคิดว่า นั่นเป็นหน้าที่ของเกษตรกรเพียงอย่างเดียว ขณะที่ในปัจจุบัน ผู้คนทุกสาขาอาชีพสามารถปลูกผักกินเองที่บ้านได้ เพราะทั้งง่ายสะดวก และปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง
ในกิจกรรมเวิร์กช็อปโดยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. เมื่อเร็วๆ นี้ “ชูเกียรติ โกแมน” ผู้เชี่ยวชาญจากโครงการสวนผักคนเมือง ซึ่งปัจจุบันผันตัวไปเป็นเกษตรกรและทำสวนผักบริเวณเชิงเขาจังหวัดน่าน บอกไว้ว่า “คนเมืองทำสวนผักง่ายกว่าคนต่างจังหวัด เพราะวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการปลูกผักนั้น หายากกว่าตอนที่อยู่กรุงเทพฯ เสียอีก”
พี่ชูเกียรติอธิบายว่า ทุกวันนี้การทำสวนผักในต่างจังหวัดกลายเป็นเรื่องยาก เพราะต้องไปซื้อวัตถุดิบในการเตรียมดิน เช่น เศษผัก เศษหญ้ามาจากเกษตรกร เนื่องจากทุกคนมีความต้องการที่จะใช้ บ้างก็นำไปเลี้ยงสัตว์ บ้างก็นำไปทำปุ๋ย ขณะที่ในกรุงเทพฯ สิ่งเหล่านี้หาได้ในชีวิตประจำวัน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่า
“การเริ่มปลูกผักนั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องเตรียมดินให้สมบูรณ์ ซึ่งมีขั้นตอนง่ายๆ โดยเอาขยะอินทรีย์ที่หาได้รอบตัว อาทิ เศษอาหารเศษผักผลไม้ มาคลุกเคล้าผสมกับดิน ปุ๋ยคอก(มูลสัตว์) กากกาแฟ เพื่อเพิ่มความสมดุลของกรดด่าง และโรยน้ำตาลเพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาในการย่อยสลาย (น้ำตาลเป็นอาหารของจุลินทรีย์ ) คลุกเคล้าให้เข้ากันและหมักไว้ในถุงปุ๋ยให้เกิดความชื้น เก็บในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกจนกว่าวัตถุดิบทั้งหมดจะย่อยสลายโดยมีวิธีทดสอบคือ ลองกำขึ้นมาแล้วไม่มีน้ำหยด แต่พอปล่อยแล้วมือเปียก จากนั้นก็นำมาใช้ปลูกผักได้เลย”
สำหรับการดูแล พี่ชูเกียรติแนะนำว่า ต้องหมั่นรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับให้น้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยอินทรีย์ร่วมด้วย แต่หากไม่มีปุ๋ยสามารถนำน้ำเต้าหู้มาละลายในน้ำเปล่า แล้วใช้รดผักก็ยังได้
สอดคล้องกับคำบอกเล่าของ “พัชมพร ลิมปนากร” อายุ 46 ปี ที่เล่าว่า เริ่มสนใจการปลูกผักจากการเข้าร่วมเวิร์กช็อปในกิจกรรม’เมื่อคนเมืองอยากปลูกผัก’ จากนั้นก็ลองผิดลองถูกเรื่อยมา ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ก็มีผักที่ปลูกบนดาดฟ้ามากกว่า 5 ชนิด และยังเก็บมาทำอาหารรับประทานในครอบครัวได้ทุกๆวันอีกด้วย
“การปลูกผักกินเองนอกจากจะช่วยให้เราประหยัดแล้ว ยังทำให้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น เพราะในแต่ละวันก็จะคิดเมนูใหม่ๆโดยใช้ทรัพยากรที่มีมาใช้ปรุงอาหาร โดยเฉพาะผักที่เราปลูกเองจะอร่อยกว่าซื้อจากตลาดเพราะมีความสดใหม่ ที่สำคัญปลอดภัยจากสารเคมีแน่นอน”
เช่นเดียวกับ “จิตติกานต์ วิศาลสกุลวงษ์” อายุ 53 ปี ที่บอกเล่าถึงประโยชน์ของการปลูกผักกินเองว่า เมื่อเราได้รู้ที่มาที่ไปของอาหารเวลากินก็สบายใจ อีกทั้งได้กินผักที่อร่อยและสดใหม่ และสำคัญที่สุดคือประหยัดเงินนั่นเอง
ส่วน “กฤษณา ศรีวิภาพัฒนา” อายุ 63 ปี ที่สนใจการปลูกผักมานาน แต่ยังไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นสักที เพราะยังไม่มีความรู้ด้านการปลูกผักมากพอ เธอบอกหลังจากที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ว่า ได้ทราบวิธีการและแนวทางในการเริ่มปลูกผักและการดูแลผักแบบง่ายๆจึงตั้งใจว่าจะเริ่มต้นปลูกผักกินเองเสียทีเพราะอย่างน้อยก็จะได้สบายใจว่าผักที่ปลูกเองนั้นผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง และหากลองแล้วได้ผลดี ก็จะทำแปลงผักอย่างจริงจังที่สามารถปลูกผักไว้กินเองและแบ่งปันญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงได้กินด้วย
นอกจากนี้พี่ชูเกียรติ ยังทิ้งท้ายกิจกรรมด้วยว่า สิ่งที่เห็นได้ชัด เมื่อคนเมืองเริ่มปลูกผักกินเอง คือ ทุกคนเริ่มตระหนักถึงที่มาของอาหารมากขึ้น ทั้งช่วยลดความเป็นเมืองที่ต่างคนต่างอยู่ หันมาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันคนในชุมชนหันหน้ามาคุยกันมากขึ้น มีการแบ่งปันผัก ดูแลรดน้ำให้กัน ทั้งยังมีการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมเอาเมล็ดผัก ต้นกล้า และทำอาหารมาแลกเปลี่ยนกัน จากกลุ่มเล็กๆกลายเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้น โดยเริ่มจากการปลูกผักนั่นเอง
“ทุกวันนี้เทคโนโลยีหรือวิธีการไม่ใช่ข้อจำกัดอีกต่อไป เพราะสามารถค้นหาข้อมูลความรู้ในโลกโซเชียลมีเดียได้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ หากรู้จักเลือกที่จะเรียนรู้และนำมาปรับใช้ได้เพื่อจะอยู่รอดในอนาคต”
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ