ผลสำรวจพบ “ผู้สูงอายุครองโลก”
สถาบันอาหาร เผยผลสำรวจผู้อายุโลกยังคงเติืบโตอย่างต่อเนื่อง คาด 40 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะมีกำลังซื้อร้อยละ 50 ของการบริโภครวมทั้งโลก
เมื่อวันที่ 16 กันยายน ว่า สถาบันอาหารได้รายงานผลสำรวจแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อผู้สูงอายุทั่วโลก พบว่า ยังคงเติบโตและมีวิวัฒนาการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผลต่อโครงสร้างธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหาร ดังนั้นผู้ประกอบการอาหารของไทยต้องเร่งศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์โดนใจผู้สูงอายุที่นับวันมีจำนวนมากขึ้น และมีมูลค่าตลาดมหาศาล ซึ่งคาดว่าในอีก 40 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะมีกำลังซื้อ 50% ของการบริโภครวมทั้งโลก โดยประเทศญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์จำนวนผู้สูงอายุมากที่สุด31% ในปี 2553 และจะเพิ่มเป็น42% ในปี2593 ส่วนจีน สัดส่วนประชากรสูงอายุอยู่ที่ 21% จะเพิ่มขึ้นเป็น34 % ในปี 2593 ขณะที่ไทยปีที่ผ่านมามีสัดส่วนผู้สูงอายุ 14.46 % โดยปี2563 จะอยู่ที่ 17.51% และเพิ่มขึ้นเป็น25.15% ในปี 2573
“การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุประชากรก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคไปด้วย การมีอายุที่ยืนยาวขึ้น ทำให้มีความต้องการ บริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ขนาดบรรจุที่เล็กลง รับประทานหมดในครั้งเดียว อาหารที่เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะธุรกิจบริการอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้สูงอายุ” รายงานข่าวระบุ
ทั้งนี้ พฤติกรรมการดำรงชีวิต และการบริโภคอาหาร ของผู้สูงอายุของทุกประเทศทั่วโลก มีความคล้ายคลึงกัน โดยมักมีความนิยมเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น อาหารไบโอ ความต้องการเพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์เชิงหน้าที่ หรือที่เรียกว่าฟังก์ชั่นนัล มีการใส่ใจมากขึ้นเป็นพิเศษกับโภชนาการเพื่อสุขภาพ อาทิ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ผลิตภัณฑ์เสริมสร้าง ความเข้มแข็งของกระดูกและบำรุงข้อต่อ เพิ่มแคลเซียม และวิตามินดี ผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ของหัวใจ ผลิตภัณฑ์ควบคุมความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอล ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
ผู้สูงอายุยังต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการสร้างความสะดวก ใช้เวลาเตรียมรับประทานที่สั้น โดยมักใช้เวลาในการจับจ่ายซื้อของน้อยลง ความถี่ในการซื้อจะเฉลี่ย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ดังนั้นผลสำรวจได้ชี้ว่าโครงสร้างประชากรและพฤติกรรมการบริโภคที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัว ศึกษาข้อมูล เพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจต่อไป
ที่มา : เว็บไซต์มติชนออนไลน์