‘ป่าเปียก’ ป้องกันไฟป่า ลดหมอกควันเมืองลำปาง
ที่มา : เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจาก เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
จากถนนสายเอเชีย ช่วงลำปางพะเยา บริเวณหน้ามณฑลทหารบก ที่ 32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ลึกเข้าไปทางฝั่งตะวันออกเพียง 3 กิโลเมตร จะพบกับป่าทึบใกล้ใจกลางเมืองที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเบียดเสียดแย่งรับแสง น้ำในห้วยยังไหลแม้จะเข้าหน้าแล้งแล้วก็ตาม แน่นอน ผืนดินยังชุ่มน้ำ หากเดินไม่ระวัง อาจ ลื่นไถลได้ง่ายๆ
ป่าผืนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวนอุทยานม่อนพระยาแช่ ดอยม่วงคำหรือดอยพระบาท ป่าที่อยู่ใกล้ชุมชนเมืองมากที่สุด อยู่ชิดติดกับบ้านไร่พัฒนา ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ป่าผืนนี้อยู่ในสภาพใกล้เสื่อมโทรม ใครอยากจะกอบโกยจากป่า ก็เข้าไปทำลายล้างได้ตามอำเภอใจ เมื่อถึงหน้าแล้งก็จุดไฟเผา ด้วยข้ออ้าง ถ้าไม่เผาก็ไม่มีกิน จนหมอกควันคละคลุ้งท่วมเมือง
เสถียรพงศ์ เครืออิ่นแก้ว ผู้ใหญ่บ้าน บ้านไร่พัฒนา เล่าว่า พื้นที่ป่าที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของบ้านไร่พัฒนามีอยู่ทั้งหมด 586 ไร่ไฟป่าที่เกิดขึ้นในแต่ละปีจะไล่เรียงกันมาในแต่ละหมู่บ้านรอบๆ วนอุทยานม่อนพระยาแช่และดอยพระบาท ทำให้ หน้าแล้งทุกปีจะมีควันไฟลอยมาจากชุมชน รอบป่า โดยสังเกตได้จากจุดฮอตสปอท ที่มีอยู่อย่างหนาแน่นในบริเวณนี้ ผลของไฟป่า ทำให้คนในพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ แสบตา แสบจมูก ไม่เพียงเท่านั้นประชาชนในเขตเมืองและหน่วยงาน ราชการ ก็ได้รับผลกระทบเพราะผืนป่าห่างจากศูนย์ราชการเพียง 3 กิโลเมตร และห่างจากตัวเมืองไม่เกิน 5 กิโลเมตร ยังไม่รวมถึงความเสียหายต่อการ ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่ซบเซายาม เกิดเหตุกินเวลาหลายเดือน
"ไฟป่าที่เกิดขึ้นทุกปี ทำให้ป่าเสื่อมโทรมลงไปด้วย คนเข้าไปหาของป่า ล่าสัตว์ก็ไปสุมไฟ ลุกลามเป็นวงกว้าง ซึ่งปัญหาไฟป่ารุนแรงขึ้นทุกปี ไม่มีเบาลง ช่วงวิกฤติแสบตาแสบจมูกไปหมดแทบจะอยู่ไม่ได้ ต้องงดกิจกรรมนอกบ้าน เพราะอันตรายต่อสุขภาพ" สุรพล สายจันทร์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านไร่พัฒนา ให้ข้อมูลเพิ่มเติม
จากปัญหาที่เกิดขึ้นผู้ใหญ่เสถียรพงษ์ จึงชวนชาวบ้านทำกิจกรรมรณรงค์รักษาป่าช่วยกันปลูกต้นไม้ บวชป่า ทำฝายชะลอน้ำ รณรงค์ห้ามเผา มีการจัดเวรยาม ป้องกันไฟป่าหรือคนเข้ามาลักลอบเผาซึ่งแนวทางนี้ก็พอจะช่วยได้บ้าง แต่ ไม่ครอบคลุมผืนป่าทั้งหมด เพราะดอยพระบาทมีชุมชนที่อาศัยโดยรอบมากถึง 36 ชุมชน ประกาศเขตป่าชุมชนไปแล้ว 20 ชุมชน และอีก 10 ชุมชนยังไม่ได้ประกาศเขตป่าชุมชน ขณะเดียวกันป่ามีขนาดกว้างใหญ่เข้าออกได้หลายทาง มีคน เข้ามาใช้ประโยชน์หลากหลายทั้งจากคนในและคนนอกพื้นที่
"การหยุดหมอกควัน ไฟป่า จึงไม่ประสบผลสำเร็จ ขณะที่แต่ละหมู่บ้านแต่ละหน่วยงานไม่เคยมาคุยกัน ต่างคนต่างทำ แผนจัดการไม่เป็นในทิศทางเดียวกัน ทางจังหวัดต้องมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทุกปี"ผู้ใหญ่เสถียรพงษ์ยืนยัน แม้ป่าในเขตหมู่บ้านของเขาจะอุดมสมบูรณ์ แต่ยังมีอีกหลายๆ หมู่บ้านที่ยังเผากันอยู่
ปัญหาไฟป่าและหมอกควันจึงเป็นวาระสำคัญของจังหวัดลำปางที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน หน่วยจัดการระดับจังหวัดขับเคลื่อนประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัด (Node Flagship) จ.ลำปาง ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เข้ามาหนุนเสริมศักยภาพ และส่งเสริมชุมชนจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่า อย่างเช่น โครงการ "อนุรักษ์ป่าพระยาแช่ สดใสไร้หมอกควัน" ซึ่งมีการตั้งคณะทำงาน มีกลุ่มอาสารักษ์ป่าบ้านไร่พัฒนา เพื่อช่วยกันดูแลรักษาป่า ทั้งสร้างฝายชะลอน้ำ ทำแนวป้องกันไฟป่า จัดทำแผนที่ทำมือการบริหารจัดการป่าชุมชน จัดเวรยามลาดตระเวน จุดสกัด ตั้งหอคอยสังเกตการณ์ สร้างกฎระเบียบเลิกเผาป่า
ศิริพร ปัญญาเสน หัวหน้าหน่วยจัดการระดับจังหวัดขับเคลื่อนประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัด (Node Flagship) เปิดเผยว่า ได้ขับเคลื่อนประเด็นที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัดใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2.ความมั่นคงทางอาหาร และ 3.เด็กเยาวชนและครอบครัว ซึ่งประเด็นแรกสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่ชาวลำปางและเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งมองว่าหากมีการจัดการป่าที่ดี ทั้งปีจะส่งผลดีช่วยลดไฟป่าในฤดูแล้ง ไม่ใช่รอให้ใกล้ฤดูแล้งค่อยมาจัดการ ซึ่งช้าเกินไป ทางหน่วยจัดการระดับจังหวัดขับเคลื่อนประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัดลำปางได้สนับสนุนให้ชุมชนเข้ามาเป็นเจ้าของปัญหาและจัดการปัญหาด้วยตัวเอง ด้วยแนวคิด "ป่าเปียก" ของในหลวงรัชกาล ที่ 9 ในการสร้างความชุ่มชื่นให้กับป่าและให้เป็นแหล่งอาหารชุมชนมี 3 พื้นที่ ร่วมโครงการ ได้แก่ บ้านไร่พัฒนา บ้านหัวทุ่ง และเทศบาลเมืองเขลางค์นคร
ป่าเปียกเป็นทฤษฎีการพัฒนาป่าไม้ โดยใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างแนวป้องกันไฟเปียก (wet fire break) ความชุ่มชื้นที่เกิดขึ้นทำให้ไฟป่าเกิดยากส่งผลให้การพัฒนาและอนุรักษ์ฟื้นฟูง่ายและได้ผลมากขึ้น วิธีการสร้างป่าเปียกคือ ใช้แนวคลองส่งน้ำ สร้างระบบควบคุมไฟด้วยแนวกันไฟอาศัยน้ำชลประทานและน้ำฝน ปลูกไม้โตเร็วคลุมร่องน้ำ สร้างฝายชะลอความชุ่มชื้นสูบน้ำด้วยพลังงานธรรมชาติขึ้นที่สูงแล้วปล่อยลงมาให้ไหลซึม ช่วยเร่งรัดการปลูกป่าไม้ช่วยแปรสภาพโครงการภูเขาป่าให้เป็นป่าเปียก และปลูกกล้วยเป็นแนวปะทะ 2 เมตร เพราะกล้วยสามารถอุ้มน้ำไว้ได้มาก
ศิริพร เผยถึงแนวทางการหนุนเสริมชุมชน ว่า กระบวนการทำงานคือ 1.ต้องเตรียมคนทั้งผู้นำ มีการตั้งคณะกรรมการทำงาน 2.การเตรียมข้อมูลข่าวสารให้ชุมชนรับทราบ 3.การเตรียมชุมชนให้ทุกคนใช้ประโยชน์จากป่าให้เป็น มีจิตสำนึก ตรงไหนทำได้ อย่างไหนทำไม่ได้สร้างกฎระเบียบต้องรู้ และที่สำคัญคือ เอาชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจ้าของ พื้นที่มาล้อมวงพูดคุยกันมาบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทำแผนที่ป่าให้ชัดเจน
"สสส.มีหน้าที่เพียงแค่การหนุนเสริมกระบวนการการจัดการองค์ความรู้ชุมชนต้องจัดการปัญหาด้วยตัวเอง สามารถวิเคราะห์ปัญหา สร้างกลไก วิธีจัดการปัญหาได้อย่างไร เราเพียงแค่เชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาสร้างข้อตกลงร่วมกันในเวทีกลาง เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยกันมากขึ้น โดยเฉพาะภาครัฐกับภาคประชาชนที่ต้องร่วมมือกัน" หัวหน้า Node Flagship จ.ลำปาง กล่าว
การส่งเสริมชุมชนจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าใน 3 พื้นที่ต้นแบบ จะเป็นโมเดลที่ใช้ขยายผลการจัดการให้ครอบคลุมทั้ง 36 ชุมชนรอบดอยพระบาทและวนอุทยานม่อนพระยาแช่ซึ่งจะทำให้ปัญหาหมอกควันได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ และคืนอากาศบริสุทธิ์และเป็นแหล่งอาหารที่มั่นคงให้ชาวเมืองลำปาง