ป่าชุมชนบ้านควนยูง ‘ลมหายใจ’ ของลูกหลาน

ความเจริญทางเศรษฐกิจทำให้สังคมมีการขยายตัวมากขึ้น ผู้คนต้องการที่อยู่ที่ทำกิน จึงต้องแลกด้วยการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ซึ่ง “กรุงเทพมหานคร” เมืองหลวงของประเทศไทยเป็น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ที่ความเจริญไปเบียดบังพื้นที่ธรรมชาติอันเป็นแหล่งก่อกำเนิดหลายสรรพชีวิต


ป่าชุมชนบ้านควนยูง ‘ลมหายใจ’ ของลูกหลาน thaihealth


ปัจจุบันเมืองหลวงของประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียวในความรับผิดชอบของ สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ประมาณ 2,895 ไร่ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และสภาพอากาศที่เป็นพิษนั้นถือว่าไม่เพียงพอ คนกรุง จึงมีการเรียกร้องพื้นที่สีเขียวเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากกรณี “ป่ามักกะสัน” กว่า 500 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ในความดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีข่าวคราวครึกโครมว่ามีภาคเอกชนวางแผนขอเช่าเพื่อนำไปพัฒนาเป็นศูนย์การค้าครบวงจรขนาดใหญ่ จนเกิดการรวมตัวเป็น “เครือข่ายมักกะสัน” เพื่อกระตุกต่อม ร.ฟ.ท. ควรพัฒนาพื้นที่ป่ามักกะสันให้เป็น “ปอด” ของคนกรุงเทพฯ แทนที่การสร้างช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดมลพิษมากกว่าที่เป็นอยู่ก็เท่านั้นเอง


เพราะถ้าเราสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ ได้ แม้จะเป็นเพียงสวนป่าเล็กๆ ไม่ใช่แต่เพียงเป็นแหล่งฟอกอากาศดีให้กับเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีพื้นที่สร้างสุขภาวะที่ดี ที่เป็นอาศัยของสัตว์น้อยใหญ่ คืนความสมดุลให้กับระบบนิเวศน์อย่างที่ควรจะเป็น


การต่อสู้ของเครือข่ายมักกะมัน ที่จะทำให้ ป่ามักกะสันเป็นปอดของคนกรุงเทพฯ ได้หรือไม่นั้น ยังมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวการอนุรักษ์ป่าพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นพลังของกลุ่มคนเล็กๆ ที่บ้านควนยูง  หมู่ 4 ตำบลขุนทะเล อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ ผ่านความสำเร็จในการทำ “โครงการจัดการป่าชุมชนบ้านควนยูงแบบมีส่วนร่วม”


วิภาดา วาสินธุ์  ผู้รับผิดชอบโครงการการจัดการป่าชุมชนบ้านควนยูง ผู้ซึ่งเกิดและใช้ชีวิต ณ ที่แห่งนี้มาโดยตลอด เล่าว่า ป่าแห่งนี้มีขนาด 52 ไร่ เป็นป่าสงวนของนิคมสร้างตนเองขุนทะเล อุดมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ อาทิ ต้นยูง ต้นยาง สมุนไพรรวมกว่า 45 ชนิด ชาวบ้านใช้ประโยชน์ กับป่า หาหน่อไม้ สมุนไพร แม้ว่าป่าชุมชนบ้านควนยูงแห่งนี้จะอยู่ในหมู่ 4 แต่คนทั้ง 10 หมู่บ้าน ก็ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงมีความรักและหวงแหนผืนป่าแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง


แต่ก็เหมือนมีฝันร้ายเกิดขึ้นกับชาวบ้านควนยูง นิคมสร้างตนเอง ซึ่งสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ ทำเอ็มโอยูกับกระทรวงพลังงาน และกระทรวงเกษตรฯ จะใช้พื้นที่ตรงนี้ปลูกปาล์ม ตามโครงการปลูกพืชพลังงานทดแทน โดยที่ชาวบ้านในพื้นที่ซึ่ง เป็นเจ้าของป่าตัวจริงไม่ได้รู้เรื่องด้วยแต่อย่างใด ทันทีที่มีรถแบ็คโฮเข้ามาเพื่อปรับพื้นที่ จึงเกิดการต่อต้านจากชาวบ้าน โดยมีผู้นำชุมชน ตั้งแต่ ระดับผู้ใหญ่บ้าน ไม่จนถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และชาวบ้าน ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังสำนักงานนิคมสร้างตนเอง แต่ก็ไม่เป็นผล


“ชาวบ้านควนยูงยังโชคดีตรงที่ เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน นักข่าวลงพื้นที่มาทำข่าว นำเสนอความจริงว่าระหว่างป่า กับ ปาล์ม ชาวบ้านได้ประโยชน์จากอะไรมากกว่ากัน จนในที่สุดเราก็สามารถรักษาป่าชุมชนของเราไว้ได้ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีเข้ามาทำลายพื้นป่าที่เรารักและหวงแหน ชาวบ้านจึงได้ลงความเห็นว่าควรมีการตั้งกลุ่มเพื่อดูแลป่า โดยจัดทำ โครงการจัดการป่าชุมชนบ้านควนยูงแบบมีส่วนร่วมขึ้น”


คำว่า “แบบมีส่วนร่วม” ในที่นี้ วิภาดา อธิบายต่อว่า ไม่ใช่แค่ความร่วมมือของชาวบ้านในพื้นที่ แต่ได้มีการดึงเอา หน่วยงานภาครัฐ วัด บ้าน โรงเรียนเข้ามา โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. มีการจัดทำกิจกรรมอนุรักษ์ป่าในวาระสำคัญต่างๆ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา สร้างเยาวชนรุ่นใหม่ให้เป็นแกนนำอนุรักษ์ การปลูกป่าทดแทน เหล่านี้เป็นต้น 


ปัจจุบันป่าชุมชนบ้านควนยูง ไม่ใช่เพียงปอด หรือแหล่งทำกิน ที่ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์จากป่าร่วมกันเท่านั้น แต่ผืนป่าแห่งนี้ ยังเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่มีชีวิต ให้กับเด็กๆ ในชุมชนทั้ง 2 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านนกยูง โรงเรียนพัชรกิตติยาภา ยังมีศูนย์อบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภาคเอเชียแปซิฟิค มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังใช้ป่าชุมชนแห่งนี้ เป็นแหล่งศึกษาวิจัยที่สำคัญ จากการวิเคราะห์ของศูนย์ฯ เรื่องการทับถมของดิน ระบุว่า ป่านี้มีความอุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่งของประเทศไทย ในส่วนของชุมชนเอง เคยมีการเชิญนักวิชาการมาเก็บข้อมูล เขาก็เก็บไปแต่ไม่เคยบอกเรา เราจึงพยายามจะเก็บข้อมูลของผืนป่าแห่งนี้ให้ได้มากที่สุด พันธุ์ไม้ สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่มีอะไรบ้าง เพราะต้องการให้ที่แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับชุมชนอื่นๆ เมื่อเขามาเราจะได้บอกได้”


วิภาดา ยอมรับว่า ถึงวันนี้หน่วยงานเจ้าของพื้นที่จะยังไม่ยกเลิกโครงการนำป่าชุมชนบ้านควนยูงไปปลูกปาล์มอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม แต่ชาวบ้านก็พยายามเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความร่วมมือ และเดินไปพร้อมๆ กัน ในการหาทางออกที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ป่ายังอยู่คู่กับชุมชน ให้ชาวบ้านได้เก็บกินใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งนิเวศน์วิทยาที่ส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคต ให้พวกเขาได้สัมผัสป่าจริงๆ มากกว่าที่จะเห็นป่ากระดาษที่ไร้ชีวิต         


 



ที่มา :  สำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สสส.


ภาพประกอบจากสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สสส.

Shares:
QR Code :
QR Code