ปี 53 พบหวัดระบาด 3 สายพันธุ์
หวัด 2009 แพร่เชื้อหนักสุด
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการประชุมสัมมนาประจำปี 2553 ครั้งที่ 3 “เมื่อไข้หวัดใหญ่ระบาดพร้อมกันทั้ง 3 สายพันธุ์” ว่า ปีนี้พบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่มากกว่าปีที่ผ่านมาโดยพบว่ามีการระบาดทั้ง 3 สายพันธุ์ คือ ไข้หวัดใหญ่ชนิด a เอช1เอ็น1 (h1n1) หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอช3เอ็น2 (h3n2) และไข้หวัดใหญ่ชนิด b ที่สำคัญ การระบาดยังยาวนานกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาโดยในปี 2552 การระบาดเริ่มลดลงในช่วงเดือน ส.ค.โดยพบว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 มีอัตราการระบาดสูงสุดถึงร้อยละ 90 ขณะที่สายพันธุ์ตามฤดูกาลพบเพียงร้อยละ 10
ศ.นพ.ยง กล่าวอีกว่า จำนวนของผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ 2009 พบถึงร้อยละ 50 ซึ่งสูงที่สุด ขณะที่ไข้หวัดใหญ่เอช3 เอ็น2 พบประมาณ 1 ใน 4 นอกนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิด b โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และภาคเหนือ รองลงมา คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอช3เอ็น2 พบในภาคใต้ ส่วนไข้หวัดใหญ่ชนิด b พบได้ทั่วประเทศ
ศ.นพ.ยง กล่าวว่า สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทั้ง 3 สายพันธุ์นั้น ปัจจุบันทางกระทรวงสาธารณสุข รณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยงฉีดอยู่จำนวน 2.1 ล้านโดส และยังมีในส่วนของภาคเอกชนอีก 1 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนราว 3 ล้านคนนั้น คิดเป็นเพียงร้อยละ 4 ของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น ถือว่าน้อยมากในการป้องการการระบาดของโรค ทางที่ดีที่สุดประชาชนทุกคนต้องดูแลสุขภาพของตนเอง
หัวหน้าศูนย์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากการทดสอบการดื้อยาในเชื้อทั้งสิ้น 1,100 สายพันธุ์ พบว่า การระบาดในระลอกแรกไม่พบการดื้อยาแต่ในระลอก 2 พบ เชื้อดื้อยา 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.2 และระลอก 3 พบดื้อยา 3 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.8 ถือเป็นเรื่องปกติของการใช้ยามากขึ้น โอกาสดื้อยาย่อมสูงตามไปด้วยซึ่งมองว่าในการระบาดระลอกต่อไป อัตราการดื้อยาจะสูงขึ้นเช่นกัน แต่ไม่ต้องกังวล เนื่องจากองค์การอนามัยโลก (who) กำหนดว่าหากเชื้อดื้อยาไม่เกินร้อยละ 1 ยังไม่ถือว่าน่าเป็นห่วง
ที่มา:astvผู้จัดการ
update:25-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย:คีตฌาณ์ ลอยเลิศ