“ปิดเทอมสร้างสรรค์ มาอ่านหนังสือกันเถอะ”
เข้าสู่ช่วงปิดเทอมกันแล้ว น้องๆ ที่ขะมักเขม้นกับการเรียน คงได้ใช้เวลาช่วงนี้หยุดพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ อีกหลายๆ คนคงกำลังหากิจกรรมทำในช่วงปิดเทอม ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน Part time การทำกิจกรรมอาสา เรียนดนตรี ศิลปะ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่มีความสนใจแตกต่างกันไป แต่อีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มทักษะการเรียนรู้และยังมีประโยชน์ไม่แพ้กัน นั่นคือ “การอ่านหนังสือ”
“การอ่านหนังสือ” ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง ที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเด็กเล็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ต่างก็อ่านหนังสือกันทั้งนั้น แต่ผลสำรวจจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2554 พบว่า เด็กไทยมีสถิติการอ่านหนังสือลดลงจนน่าตกใจเฉลี่ยอยู่ที่ 2-5 เล่มต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับสถิติการอ่านหนังสือของประเทศแถบอาเซียน
เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะการอ่านของเยาวชนไทย ให้ก้าวไกลและเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กไทย จึงมีการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ นิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับหนังสือเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้เองที่ กรุงเทพมหานคร ได้รับเลือกให้เป็น “เมืองหนังสือโลก” โดยมีแนวคิดที่ว่า การอ่านคือการพัฒนาชีวิต เพื่อเน้นย้ำให้สังคมไทยร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้กับเด็กตั้งแต่ยังเล็กๆ
“การอ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องเครียดเลย แต่กลับเป็นการผ่อนคลายสมองและจิตใจที่ดีอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังฝึกให้เรามีสมาธิและจิตใจที่มั่นคง และเพิ่มทักษะการเรียนรู้ การอ่าน ภาษาและจิตนาการได้เป็นอย่างดี” สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน อีกหนึ่ง ผู้ส่งเสริมการอ่าน พูดถึงข้อดีของการอ่านหนังสือ
สุดใจ ยังพูดถึงกิจกรรมการอ่านหนังสือช่วงปิดเทอม อีกว่า ช่วงปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่เด็กจะออกจากกรอบการเรียนรู้ภายในห้องเรียน นอกเหนือจากการทำกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ การได้อ่านหนังสืออย่างอิสระ นอกเหนือจากการอ่านหนังสือแบบเรียน ซึ่งจริงๆ แล้วการอ่านเป็นเรื่องของการเตรียมฐานกระบวนการเรียนรู้ และการศึกษาที่สำคัญ เมื่อเด็กได้สนใจใฝ่รู้ในเรื่องที่ตัวเองชอบ และได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง เด็กก็จะค้นพบแนวทาง และความตถนัดของตัวเอง
“การปลูกฝังให้เด็กสนใจการอ่านมากขึ้น ต้องเริ่มจากครอบครัวให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือ พ่อแม่เลือกหนังสือตรงตามพัฒนาการของลูก และสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ ถ้าเด็กได้อ่านหนังสือ หรือ พ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี จะมีพัฒนาการด้านภาษาที่ดีขึ้น
ด้านการคิดวิเคราะห์และถ่ายทอดการสื่อสาร จะทำได้ดีและเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กที่ไม่ได้รับการปลูกฝังและส่งเสริมการอ่านตั้งแต่เด็ก และเมื่อถึงช่วงอายุ 6-9 ปี ขึ้นไป เป็นช่วงการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญ และเหมาะสมที่จะส่งเสริมการอ่าน ถ้งส่งเสริมให้เด็กอ่านหนังสือตั้งอายุ 0-6 ปี จนถึงช่วง 6-9 ปี จะทำให้เด็กรักการอ่านไปตลอดชีวิต” สุดใจ แนะนำ
นอกจากนี้ สุดใจยังฝากทิ้งท้ายไว้ว่า เพื่อส่งเสริมศักยภาพ จินตนาการ และความรู้ให้กับเยาวชนไทย ยังมีโครงการ “บ้านหนังสืออัจฉริยะ” เป็นโครงการส่งเสริมการอ่านช่วงปิดเทอม ทั้งในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ จะมีหนังสือทุกประเภท ทั้งนิทาน วรรณกรรม นวนิยาย หนังสือความรู้ทั่วไป หนังสือการ์ตูนเพื่อความรู้และความบันเทิง ที่มีไว้เพื่อให้เด็กทุกช่วงวัย รวมถึงคนในครอบครัว เห็นความสำคัญของการอ่าน เสริมสร้างความรู้ ความสัมพันธ์ในครอบครัว
ปิดเทอมใหญ่ มาเปิดตา เปิดใจ เดินทางสู่โลกกว้าง เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการอ่านอย่างมีความสุข กันนะคะ
เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th