“ปัญหาจะผ่านไป” คาถาใจสำหรับคนไกลบ้าน
ยามน้ำท่วมแบบนี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยต้องไร้บ้าน และต้องออกจากบ้านเพื่อไปพักอาศัยที่อื่น บ้างก็อาศัยบ้านญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือบางสำนักงานก็จัดหาที่อยู่ให้พนักงานได้ไปพักพิง และคนอีกจำนวนหนึ่งก็ใช้บริการของศูนย์พักพิงต่างๆ ที่ทางหน่วยงานราชการจัดหาไว้ให้ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่อยู่ไกลบ้าน คงหนีไม่พ้นอาการ “คิดถึงบ้าน” ที่ทำให้ใครหลายคนต้องนับวันรอ และได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้น้ำลดและได้กลับบ้านไวๆ
เมื่อเกิดอาการคิดถึงบ้าน อาการภาวะเครียด ภาวะซึมเศร้าก็มาเยือนอย่างหลีกหนีไม่ได้เช่นกัน โดย นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุลผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตเพื่อสุขภาวะสังคมไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บอกว่า ความเครียดของผู้ประสบภัยที่อยู่ที่ศูนย์พักพิง เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การจัดการความเครียดจึงต้องเข้าใจและจัดการตามสาเหตุ ควรทำใจยอมรับ อดทน มองว่า “ปัญหาจะผ่านไป”
“ความเครียดจากความสูญเสียที่เกิดขึ้น หรือจากความเป็นอยู่ที่ไม่สุขสบาย ควรทำใจยอมรับ อดทน มองว่า ปัญหาจะผ่านไป นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ค้นหาสิ่งดีๆ ที่ยังมีอยู่รอบตัว แยกแยะประเด็นปัญหาที่กังวล เลือกลงมือทำในสิ่งที่ทำได้ ทำทีละขั้นทีละตอน เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ส่วนปัญหาในอนาคต ควรวางไว้ชั่วคราว ค่อยคิดแก้ไขเมื่อพร้อมและควรปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนา จะช่วยให้ใจสงบ ยอมรับความจริงได้ดีขึ้น” นพ.ประเวชกล่าว
และแม้ทั้งหมดทั้งมวล สิ่งสำคัญที่สุด คือ “ใจที่เข้มแข็ง” ก็ตาม หมอประเวชก็ย้ำว่า แนวทางการสร้างกำลังใจ เป็นแนวทางการสร้างความเข้มแข็งทางใจ เมื่อเกิดความท้อใจ และพบกับปัญหาที่ยังมองไม่เห็นทางออก ปัญหายืดเยื้อยาวนาน ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้สึกโดดเดี่ยว ไร้จุดหมาย สูญเสียความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหา แก้ไขได้ด้วยการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองในทางที่หลากหลาย นพ.ประเวช ยังได้แนะนำ 10 วิธีดูแลจิตใจตนเอง ไว้เป็นแนวทางให้ใครหลายคนที่ยังจมอยู่กับทุกข์ว่า
1. ขั้นแรกต้องตั้งสติให้มั่น มองทุกปัญหาว่ามีทางแก้ไข
2. หากรู้สึกท้อใจ ให้ค้นหาแหล่งสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง ได้แก่ ความรักความผูกพันกับคนในครอบครัว ความศรัทธาทางศาสนา การมีเป้าหมายชีวิตที่มีคุณค่า ความเชื่อว่าปัญหาจะผ่านไป…แล้วมันจะดีขึ้น การมองเห็นสิ่งดีๆ ในชีวิต
3. ฝึกหายใจคลายเครียด และทักษะผ่อนคลายอื่นๆ
4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
5. พูดคุยกับคนใกล้ชิด อย่าคิดคนเดียว ช่วยกันปรึกษาหารือ แปลงปัญหาเป็นโอกาสในการสร้างความผูกพันใกล้ชิดต่อกัน
6. บริหารร่างกายเป็นประจำ เท่าที่สภาพแวดล้อมจะเอื้ออำนวย อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที วันเว้นวัน
7. ศึกษาและปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนา
8. มองหาโอกาสในการช่วยเหลือผู้อื่น เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน
9. คิดทบทวนสิ่งดีๆ ในชีวิตเป็นประจำทุกวัน
และวิธีสุดท้ายคือการจัดการปัญหาทีละขั้นทีละตอน ทำในสิ่งที่ทำได้ สร้างความรู้สึกสำเร็จเล็กๆ จากสิ่งที่ทำ ไม่จมไปกับปัญหาที่ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ หลีกเลี่ยงการใช้สุราหรือสารเสพติดในการจัดการความเครียดความทุกข์ใจ
อย่างไรก็ตามอาการคิดถึงบ้านแบบนี้หากสะสมไว้มากๆ ก็จะกลายเป็นอาการของโรคซึมเศร้าได้อย่างไม่ยาก!!
“ความรู้สึกเศร้าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ เมื่อคนเราประสบกับความสูญเสีย ซึ่งอาการจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อคนเราทำใจได้ และยอมรับความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่หากมีอารมณ์เศร้ามาก จนรบกวนการดำเนินชีวิต หรือเศร้านานเกินควร ก็อาจเป็นอาการของโรคซึมเศร้า ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษา โดยใช้วิธีการดูแลใจตามแนวทางข้างต้นก็จะช่วยแก้ไขปัญหาได้” นพ.ประเวช กล่าว
แม้จะยากที่ต้องต่อสู้กับปัญหา แต่หากใช้ใจมองปัญหาและเชื่อมั่นว่า ปัญหาจะผ่านไป เมื่อถึงวันนั้นความเข้มแข็งจะกลับมาและลุกขึ้นสู้ต่อ พร้อมรับกับวันใหม่ที่ยังรอในวันรุ่งขึ้นเสมอ
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์