ปลูกคน…เพื่ออนาคตของชาติดีกว่า
เริ่มต้นเปลี่ยนที่ตนเอง ช่วยสร้างสุขอย่างยั่งยืน
ท่ามกลางวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคมในบ้านเรายามนี้ นอกจากเสียงเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆหันหน้าเข้าหากัน รวมทั้งรอคอยคาดหวังให้มาตรการสมานฉันท์ของรัฐบาลบรรลุผลสร้างความปรองดองในหมู่คนไทยทุกภาคส่วนได้แล้ว ดูเหมือนยังมีคำถามสอดแทรกดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า “เมื่อไหร่ประเทศไทยจะสงบ” หรือ “ทำอย่างไรคนไทยจะเลิกทะเลาะกันเสียที”
ยังไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ !
ถึงแม้หลายภาคส่วน องค์กรต่างๆ ในสังคมไทยจะมิได้นิ่งนอนใจ ล่าสุด รัฐบาลเปิดสภาเป็นกรณีพิเศษเพื่อระดมสมองของนักการเมืองทั้งในส่วนของสภาสูงและสภาล่างช่วยกันมองหาหนทาง แต่ก็ดูเหมือนว่า ปมปัญหาก็ยังคงวนอยู่ในอ่าง ยากที่จะมีจุดลงตัวเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย เพราะบ้างก็มองว่ารัฐธรรมนูญไม่ใช่ตัวปัญหา แต่คนต่างหากเจ้าปัญหา สุดท้ายก็ยังคงถกเถียงทะเลาะกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่าง เราจะมัวแต่นั่งรอคำตอบ โดยไม่คิดทบทวนกันบ้างหรือว่า…
เอาล่ะ! เมื่อคำถาม “โลกแตก” ของสังคมไทยในวันนี้ ฝากความหวังให้ใครช่วยเหลือชี้แจงแถลงไขไม่ได้ ทำไมเราไม่มองหาช่องวิธีการที่จะดำเนินการบริหารจัดการสังคมไทยให้น่าอยู่ด้วยตัวเองเสียดีกว่า
อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ…ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือแนวคิดที่ว่า ..เปลี่ยนใครเปลี่ยนไม่ได้ หรือเปลี่ยนยาก สู้กลับมาเปลี่ยนตัวเองดีกว่า …น่าจะใช้แก้ปัญหาได้ดีมากกว่าแหงนคอรอรัฐบาลหรือใครก็ตามมาปรับเปลี่ยนไม่ว่าด้วยการปฏิรูป หรือร้ายที่สุดถึงขั้นปฏิวัติ
การเริ่มต้นเปลี่ยนที่ตัวเองต่างหากที่จะทำให้เรามีความสุขอย่างยั่งยืนได้
แนวคิดของคุณหมอประเวศ วะสี ตามโครงการปฏิรูปประเทศไทย ที่พยายามขับเคลื่อนให้สังคมไทยเกิดจิตสำนึกร่วมเพื่อนำพาประเทศไทยให้อยู่รอด ถือเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่ส่งสัญญาณบอกว่า คนไทยทุกคนหากไม่เริ่มคิดช่วยตัวเองก่อน หรือรอรัฐบาลฝ่ายเดียว อาจจะสายเกินการณ์
ฉะนั้น เราลองพิจารณาจากจุดเล็กๆของสังคม ซึ่งนั่นก็คือ ครอบครัว แล้วตรึกตรอง ทบทวนเสียหน่อยเป็นไรว่า เรากำลังเดินทาง หรือใช้ชีวิตในรูปแบบไหน และพร้อมที่จะเริ่มต้นการปรับเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาและความเป็นสุขที่ยั่งยืนหรือเปล่า
เวลานี้ พ่อกับแม่กำลังแข่งกับเวลาเพื่อการทำมาหากิน โดยนึกว่านี่เป็นความสุขและความมั่นคงของชีวิตที่แท้จริงใช่หรือไม่
วันนี้ เด็กนักเรียนหรือลูกๆ กำลังคร่ำเคร่งกับการเข้า-ออกโรงเรียนกวดวิชา เพื่อคาดหวังว่าจะได้เข้าศึกษาในโรงเรียนดัง หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพราะถูกปลูกฝัง หรือสั่งสอนว่า นี่คือหนทางแห่งความสำเร็จของชีวิตใช่ไหม
คำตอบก็ต้องบอกว่า “ใช่” เป็นส่วนใหญ่หรืออาจจะ 99.99% ของสังคมไทยวันนี้
ถ้าไม่ใช่…เราคงไม่เห็นกระทรวงศึกษาธิการมีความภาคภูมิใจเสียเหลือเกินกับโครงการติวเข้มเติมเต็มความรู้ ซึ่งดำเนินการด้วยการเปิดทีวีช่องพิเศษที่เรียกว่า “ติวเตอร์ชาแนล” พร้อมกับสโลแกนหรือคำขวัญที่ว่า
“ติวเตอร์ชาแนล” เพื่ออนาคตชาติ เพื่อโอกาสทุกคน
อาจจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับเด็กที่ไม่มีเงินไปเรียนตามโรงเรียนกวดวิชากับอาจารย์อุ๊เคมี อาจารย์ลิลลี่ อาจารย์ปิง หรืออาจารย์สมศรี และอื่นๆ อีกมากมาย แต่หนทางนี้ไม่น่าจะใช่เป็นเส้นทาง “อนาคตของชาติ” อย่างแน่นอน หากเราต้องการเป็นประเทศพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีสุข
เพราะการติวเข้ม เป็นการเติมเต็มความรู้แบบเฉพาะกิจ ให้บรรลุเป้าประสงค์ของการสอบ ไม่ว่าจะระดับมัธยม หรืออุดมศึกษา และเวลานี้เลวร้ายถึงขนาดเด็กอนุบาลก็ยังต้องติวเข้ม
ไม่มีใครรู้หรอกว่า เมื่อสอบเสร็จแล้วเด็กๆที่ผ่านเข้าไปในระบบการศึกษาแบบสมหวัง หรือพลาดหวังต้องไปเรียนที่อื่นๆนั้น จะเป็นอนาคตของชาติที่พึงปรารถนาหรือไม่
เหมือนกับการปลูกต้นไม้ แบบเร่งปุ๋ยให้ดอกงาม เพื่อหวังไปโชว์หน้าร้าน หรือออกงาน แต่พอเสร็จภารกิจดอกก็แห้งเหี่ยว ใครที่ซื้อต้นไม้ “เร่งโต” เหล่านี้ไปก็ มักจะบอกว่า ทำไมเรามาปลูกเองไม่สวยเหมือนคนขาย
เราคิดจะปลูกคนด้วยการติวเข้ม ยัดเยียดความรู้ที่เฉพาะเจาะจงว่าออกข้อสอบแน่ โดยไม่สนใจวางรากฐานให้หยั่งลึก ด้วยจริยธรรมสำนึก รู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบ เพื่อการต่อสู้กับมรสุม หรืออากาศปรวนแปรต่างๆ คนที่ได้ก็คงจะเป็นประเภทรากลอย หรือต้นไม้ถูกเร่งปุ๋ยซึ่งคงจะแคระแกร็น ใบโกร๋น และแห้งตายในที่สุด
การปลูกคนนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบการศึกษาสำคัญที่สุด
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระทรวงศึกษาที่ต้องเป็นเจ้าภาพสำคัญในการจัดระบบการศึกษา จะตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวนี้ หลังจากที่เกาะอิงกระแสความต้องการของสังคมไทยที่ฉาบฉวยด้วยการเปิดช่องทีวีเพื่อการติวเข้มนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุด พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติที่ริเริ่มแนวคิดการปฏิรูปการศึกษาก็ครบ 1 ทศวรรษแล้วในปี 2552 นี้ การเริ่มทศวรรษใหม่ก็ควรจะมองให้กว้างไปให้ไกลมากกว่าจ้างครูสอนเก่งๆตามโรงเรียนกวดวิชามาเปิดติวเตอร์ชาแนล
ปลูกคนทำอย่างไรให้บรรลุเป้าประสงค์เพื่ออนาคตของชาติอย่างแท้จริง หากคิดไม่ออก ก็ลองปรึกษาอาจารย์หมอประเวศดูก็ได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update 02-11-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์