ปลุกพลัง ‘สื่อศิลปะ’ เพื่อการสื่อสารด้านสุขภาพ
โลกยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็วเท่าไร ดูเหมือนว่า การใช้ประโยชน์ทางด้าน สื่อสารมวลชน ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น เพราะ สื่อสารมวลชน สามารถเข้าถึง มวลชนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ สื่อ โทรทัศน์ สื่ออีเล็กทรอนิกต่างๆ ตลอดรวมไปถึง สื่ออันเป็น กิจกรรมในการแสดง
วันนี้ความสำคัญในการนำเอาสื่อมาใช้เพื่อการ เรียนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก จึงยังเป็นที่กล่าวขาน และ มวลชนยังให้ความสำคัญอย่างมาก
ในการประชุมนานาชาติด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ครั้งที่ 21 (the21th iuhpe world conference on health promotion2013) ที่จัดขึ้นไปเมื่อ ระหว่างวันที่ 24 – 29 สิงหาคม 2556 มีการพูดถึงการนำเอาสื่อมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทางด้านการสร้างเสริมสุขภาพกันอย่างจริงจัง
“นายดนัย หวังบุญชัย” ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สรุปให้ทราบถึงข้อมูลในวันนั้นว่า การนำเสนอค่อนข้างมีหลายระดับ ตั้งแต่กลุ่มเป้าหมายที่เป็น บุคคล ชุมชน ไปจนถึงระดับของการสร้างกระแสและนโนบายสังคม ซึ่งทุกโครงการต่างก็ให้ความสำคัญกับการออกแบบกระบวนการ โดยใช้ความเข้าใจบริบทและวัฒนธรรม เป็นปัจจัยปัญหาพื้นฐาน โดยเฉพาะในเรื่องของสื่อศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นค่านิยมความเชื่อของแต่ละพื้นที่ เสียงส่วนใหญ่ ยอมรับกันว่า กระบวนการของสื่อทางศิลปวัฒนรรม สามารถสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงทัศนคติ พฤติกรรมได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการทำซ้ำไปเรื่อยๆ รวมถึงให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผล เพื่อปรับทิศทางของกระบวนการสื่อสารเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพต่อไปในอนาคต
ในความเห็นส่วนตัวของคุณ ดนัย มองว่า “ผมเชื่อว่าการสร้างเสริมสุขภาพในประเด็นที่ยากๆ ไม่สามารถใช้ทางตรงหรือแบบทฤษฎีเข็มฉีดยาเช่นในอดีตได้อีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาเราใช้กระบวนการทางการแพทย์มาเยอะ ดังนั้นจึงต้องพลิกมาใช้เครื่องมืออื่นๆ เช่นเรื่องของศิลปวัฒนธรรมที่มีอยู่อย่างหลากหลาย แต่ถ้าเราสามารถเอา 2 อย่างนี้มารวมกันได้ ก็ยิ่งจะมีพลังมากขึ้น เพราะ“สื่อศิลปวัฒนธรรม”อาจไม่ได้ทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยตรง แต่สื่อจะไปกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมในระดับบุคคล และต่อยอดไปสู่กลุ่ม หน่วยงาน องค์กร ชุมชน สังคม และระดับประเทศต่อไป”
“ดร.กันยิกา ชอว์” ในฐานะผู้นำเสนอผลงาน หมอลำหุ่นของ อ.นาดูน จ.มหาสารคามซึ่งนับเป็นการสื่อสารที่ค่อนข้างโดดเด่นในเรื่องของการนำศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อภายในพื้นที่นั้น มาถ่ายทอดและสร้างสรรค์ในการสื่อสารด้านสุขภาพ มองเห็นปัญหาของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ว่า เด็กเริ่มเสพติดวัตถุนิยม ตามกระแสแฟชั่น จนนำมาซึ่งปัญหาในหลายด้าน ด้วยเหตุนี้เอง หลายหน่วยงาน อาทิ วัด โรงเรียน กลุ่มผู้ปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จึงได้ร่วมกันวางแผนจนได้ข้อสรุปว่าจะนำสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น หมอลำ หุ่นกระบอก เรื่องเล่าทางศาสนามาผสมผสานกัน โดยการรวบรวมของศิลปินพื้นบ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อต้องการให้เด็กรู้ว่า คนเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วยสื่อทางศิลปวัฒนธรรม
ดร.กันยิกาบอกว่าสิ่งที่ได้จากกระบวนการเหล่านี้พบว่าเด็กใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนให้เกิดประโยชน์ พวกเขาไม่เอาเวลาว่างไปทำอันตรายต่อชีวิตตัวเอง ในขณะที่เด็กได้ทำงานศิลปะ หรือมาซ้อมการแสดง นอกจากเขาจะได้ฝีมือแล้ว ยังทำให้มีสมาธิ มีสุขภาพจิตที่ดี และมีความเป็นผู้ใหญ่ ทั้งนี้การได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนามากขึ้น ช่วยขัดเกลาทางด้านจิตใจและเพิ่มสติปัญญาอีกด้วย
สำหรับในมุมของนักศิลปะบำบัด “กชกร วรอาคม” กล่าวว่า การทำศิลปะนั้น ไม่จำเป็นต้องมองที่ตัวผลงานว่าสวยงามมากน้อยเพียงใด เพราะประโยชน์ของศิลปะที่สามารถนำมาใช้ในการสื่อสาร นอกจากใช้ในวงแพทย์ยังสามารถใช้ได้อีกหลายระดับ อย่างเช่น ศิลปะและดนตรีนำมาเป็นตัวเชื่อมโยงที่จะทำให้มุมมองของการสื่อสารในการสร้างเสริมสุขภาพ มีความลึกและหลากหลายมิติ ตรงเป้าประสงค์มากขึ้น
ด้วยข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวนี้ ทำให้เห็นได้อย่างแน่ชัดว่า การใช้สื่อเพื่อบอกเล่าเรื่องราวทางสุขภาพ ที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และชุมชนนั้น เป็นเรื่องที่ สังคมไม่ควรมองข้ามไป และ ควรจะต้องหาทางส่งเสริม และสนับสนุนที่จะนำเอาสื่อทางศิลปวัฒนธรรมออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดยปานมณี