ปฏิรูปสื่อ…สู่การปฏิรูปสังคม
คุณภาพคนต้องมาก่อน
เป็นหัวข้อการจัดประชุมใหญ่วิชาการวิชาชีพสื่อสารมวลชนระดับชาติ ประจำปี 2553 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการดำเนินการของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยร่วมกับ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ, สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สถาบันอิศรามูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทยและมหาวิทยาลัยศรีปทุม ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)
“ปฏิรูปสื่อสู่การปฏิรูปสังคม”
ถูกต้อง…ใช่เลย! อย่างไม่ต้องสงสัย… เพราะสังคมจะปฏิรูปได้ สังคมนั้นๆ จำเป็นอย่างยิ่งต้องมี “สื่อ” เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและทรงพลังในการขับเคลื่อน เพื่อให้มวลชนได้รับรู้และรับทราบข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ถูกต้องและจริงจัง
ถ้า “สื่อ” งอมืองอเท้าไม่ผิดกับ “เป็ดง่อย” เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือไม่ใส่ใจต่อปัญหาเพื่อการพิทักษ์ผลประโยชน์ส่วนรวมไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของข้าราชการการเมือง รวมทั้งข้าราชการประจำอย่างตรงไปตรงมา สังคมก็คงมืดบอด ไร้ซึ่งทิศทางการพัฒนาไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และเกิดความเป็นธรรม
ผมออกจะเสียดายนะครับ ที่ติดภารกิจอื่นไม่มีโอกาสไปฟังการอภิปรายและการแสดงความคิดเห็นของ “กูรู” ในด้านสื่อสารมวลชนของประเทศไทยครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ตกกระแส และตามประสาของคนที่สนใจใฝ่รู้งานการปฏิรูปเป็นพิเศษ ผมก็สามารถหาข่าวการสัมมนาทางวิชาการนี้อ่านจาก ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยโดยสำนักข่าวสถาบันอิศรา ที่เว็บไซต์ www.thaireform.in.th ครับ (หากใครสนใจเรื่องราวทำนองนี้ล่ะก็ ผมขอแนะนำว่า เว็บนี้เกาะติดสถานการณ์ที่สุด และหลากหลายดีครับ)
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย…(อ้อ!ลืมให้เครดิตว่าเว็บนี้เกิดขึ้นก่อนคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยของนายอานันท์ ปันยารชุนนะครับ) มีการสรุปผลการระดมความคิดเห็นในการสัมมนาเพื่อการปฏิรูปสื่อว่า
เสนอให้มีการปฏิรูปตัวเองค์กรสื่อร่วมด้วย, สร้างเครือข่ายที่มีความคิดเห็นเดียวกันในการปฏิรูปสื่อ, มีการเสนอให้สอนเรื่องการรู้เท่าทันสื่อใหม่ (New Media Literacy) ให้เยาวชนตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนโดยไม่ใช่สอนแค่เพียงในคณะนิเทศศาสตร์เท่านั้น, เสนอให้มีระบบดูแลเรื่องมาตรการลงโทษสื่อมวลชนที่ละเมิดจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพที่เป็นมาตรการลงโทษทางสังคม, เสนอให้องค์กรวิชาชีพดูและเรื่องจริยธรรมวิชาชีพโดยสามารถเตือนและลงโทษสื่อที่ทำผิดอย่างจริงๆ เพื่อให้สื่อที่ละเมิดนั้นมีการปรับเปลี่นตัวเองจริงๆ ฯลฯ
ครับ…ผมไม่มีอะไรคัดค้านแนวคิดนี้หรอกครับ เพราะนี่เท่ากับว่า เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในสังคมสื่อสารมวลชนบ้านเรา ซึ่งอย่างน้อยที่สุด ก็ดีกว่าทำตัวกันเป็นแมลงวันที่ไม่คิดที่จะตอมแมลงวันด้วยกัน…มานาน
รู้และอ่านความพยายามขององค์กรวิชาชีพสื่อในวันนี้ เพื่อร่วมขบวนการปฏิรูปประเทศไทยอย่างนี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความกระตือรือร้นของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่สัญจรออกเยี่ยมเยือนสำนักข่าวและหนังสือพิมพ์ต่างๆ เพราะมีแนวทางวิธีคิดที่ไม่แตกต่างจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดวงสื่อขณะนี้
ถึงคิวที่ “ไทยโพสต์” แห่งนี้มีโอกาสต้อนรับขับสู้คณะของนายกฯเมื่อวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายกฯอภิสิทธิ์มีคำถามพรั่งพรูมากมายเกี่ยวกับแนวคิดและแนวทางการปฏิรูปสื่อเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครับ เพราะท่านมีวาระนี้เป็นสำคัญในการขอกินข้าวเที่ยงกับสื่อต่างๆ
แต่ธรรมชาติของสื่อมวลชนจะปล่อยให้ “แหล่งข่าว” มาสัมภาษณ์เราฝ่ายเดียวได้ไง!!!
“จากการสัญจรไปตามสำนักข่าวต่างๆ ท่านนายกฯเห็นว่าการปฏิรูปสื่อจะทำได้ตามเป้าหมายและเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน?” เป็นคำถามที่อยากได้คำตอบจริงๆ เหมือนกัน และเชื่อว่าเป็นคำถามในใจของทุกองค์กรวิชาชีพเฉกเช่นกัน..และคำตอบก็น่าคิดมากเลยครับ
“อย่างน้อยมันก็เป็นการกระตุ้นครับ กระตุ้นให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่านิ่งเฉยไม่ได้แล้ว หากผมประกาศขอความร่วมมือปฏิรูปประเทศไทยไปแล้ว ตั้งคณะกรรมการแล้ว แล้วผมก็อยู่เฉยๆ นิ่งๆ ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเดินเข้าหาสื่อก็เพื่อแสดงถึงความจริงจังและต้องการเห็นการปฏิรูปเกิดขึ้น ในทางปฏิบัติ แต่ผมไปกำหนดให้ไม่ได้ ก้าวก่ายไม่ได้ครับ”
สรุปว่า วันนี้ เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นแล้วครับ สำหรับกระบวนการปฏิรูปสื่อไม่ว่าจะเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย หรือสู่การปฏิรูปสังคมก็แล้วแต่
ไม่ว่าด้วยแรงกระตุ้นของนายกฯอภิสิทธิ์ ที่ใช้ยุทธศาสตร์ขอกินข้าวเที่ยงกับสื่อเป็นตัวนำทาง หรือใช้องค์กรวิชาชีพ สื่อเป็นหัวหอก ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการก็ตาม ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะจู่ๆ คงไม่มีสื่อมวลชนคนไหนองค์กรใด มาตั้งเวทีตรวจสอบการทำงานของกันและกันเองหรอกครับ
ส่วนเรื่องความเป็นไปได้ในการเดินตาม “พิมพ์เขียว” เพื่อการปฏิรูปสื่อตามแนวคิด “ปฏิรูปสื่อภาครัฐ-พัฒนาสื่อเอกชน” ซึ่งมี “คณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบสื่อมวลชน” หรือที่เรียกว่า คพส. เป็นเจ้าภาพและ นายมานิจ สุขสมจิตร เป็นประธานผู้รับผิดชอบนั้น ก็ต้องดูกันต่อไปว่า ระยะเวลา 3 ปีที่รัฐบาลกำหนดว่าการปฏิรูปประเทศไทยจะเห็นผลบ้างนั้น ในส่วนของการปฏิรูปสื่อจะต้วมเตี้ยมหรือว่าวิ่งแรงแซงหน้าทุกส่วน
แต่ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับข้ออภิปรายของ นายสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่นครับว่า ทุกวันนี้สังคมกำหนดสื่อเองอยู่แล้วว่า สื่อจะต้องปฏิรูปอย่างไร รัฐบาลต้องเลิกคิดได้แล้วว่าจะเข้ามาควบคุม ไม่มีอีกแล้วที่จะมาตีกรอบไม่ให้สังคมรับรู้พลังประชาชนตรวจสอบการทำงานของสื่อ โดยไม่ต้องมีใครหรือรัฐบาลมาบอก นี่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปสื่อแล้ว และเสรีภาพเท่านั้นทำให้สังคมเดินหน้าได้
ดังนั้น ไปๆ มาๆ ทั้งหลายทั้งปวง ผมขอสรุปว่า “คุณภาพคน” เป็นคำตอบสุดท้ายของทุกปัญหา ทุกเรื่องที่เราประชาชนคนไทยกำลังคิดจะทำ และเห็นว่าต้องทำ นั่นคือการปฏิรูปประเทศไทย
โจทย์ข้อใหญ่ว่าด้วยคุณภาพสังคมขึ้นอยู่กับคุณภาพคนกำหนดคุณภาพสื่อ คุณภาพสื่อปกป้องผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวม คุณภาพคนชี้ชะตาผู้นำประเทศ ประเด็นนี้เราต้องช่วยกันตีให้แตก แล้วเรื่องอื่นๆ ก็จะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปทันทีครับ
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย นายใฝ่ฝัน ปฏิรูป
Update:29-07-53
อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ