บ่มเพาะพลังสมอง…สร้างชีวิตให้มหัศจรรย์

บ่มเพาะพลังสมอง...สร้างชีวิตให้มหัศจรรย์ thaihealth


งานมหกรรมสื่อและพื้นที่สร้างสรรค์ เพื่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว ตอนเด็กบันดาลใจ คิดได้ คิดเป็น ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ สถานีมักกะสัน ได้มีเวทีเสวนา บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ มหัศจรรย์แห่งชีวิต คิดได้คิดเป็น เรื่องการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 ด้วยหลักการ BBL (Brain Best Learning) โดย พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ นายกสมาคมนักวิจัยไทยเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง และ รศ.ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทร นักวิชาการผู้เชี่ยว ชาญด้านเด็กและครอบครัว


พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าวว่า เด็กในช่วงขวบปีแรกสมองจะทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อ จะเกิดการเรียนรู้จากพ่อแม่ โดยจะเริ่มจำก่อนแล้วฝึกลงมือปฏิบัติ อายุ 3-6 ขวบจึงเป็นช่วงจำ จะพูดเก่งถามเก่ง เพราะช่วงนั้นสมองเริ่มคิดแล้ว เริ่มมีจินตนาการ เด็กจะแยกไม่ได้ระหว่างจินตนาการกับความจริง ดังนั้นอาการการช่างซักถามของเด็กจึงมีความสำคัญ หากพ่อแม่สกัดกั้นการถามของเด็ก เท่ากับตัดเส้นใยประสาทของการคิด ไม่นานลูกจะเลิกถามเพราะพ่อแม่ไม่ตอบสนอง ส่งผลโตขึ้นเด็กคิดไม่เป็น ดังนั้นจะสอนลูกให้คิดเป็นต้องเรียนรู้ขั้นตอนของสมอง สรุปง่าย ๆ นี้คือ Brain Best Learning


ด้าน รศ.ดร.สายฤดี พูดถึงทฤษฎีจิตใต้สำนึกว่า สมองทำงานในช่วงเวลาที่ต่างกัน ในช่วงเล็ก ๆ สมองทำงานในช่วงที่เป็นลักษณะจิตใต้สำนึก ผู้ใหญ่สมองจะทำงานด้วยคลื่นจิตสำนึกเสียมากกว่าในขณะที่เราตื่น แต่ในเด็กเล็ก ๆ สมองทำงานในคลื่นของจิตใต้สำนึกซึ่งมีความถี่มากกว่าคลื่นจิตสำนึก เด็กจะใช้เวลาของจิตใต้สำนึกยาวนาน ถึงเวลาหิวร้องไปก่อนไม่ทันคิดเพราะเป็นจิตใต้สำนึกเป็นสัญชาตญาณ แต่สิ่งที่อยู่ใต้จิตสำนึกก็คือร้องไปแล้วนมก็มา หมายถึงการบ่มเพาะพลังสมอง...สร้างชีวิตให้มหัศจรรย์ thaihealthเรียนรู้เช่นเดียว แต่ไม่ใช่ลักษณะเป็นการถามมาแล้วได้คำตอบมา


ดังนั้นจิตใต้สำนึกจึงเป็นจุดตั้งต้นของการเรียนรู้ของความเป็นมนุษย์ ทุกคนมีเครื่องมือในการเรียนรู้เท่ากันแต่โอกาสในการรับข้อมูลผ่านจิตใต้สำนึกมีความชัดเจนต่างกัน และจะมีจำนวนมากแค่ไหน มีโอกาสให้ใยสมองได้มีการแตกตัวในการเรียนรู้แค่ไหนอยู่ที่พ่อแม่ใส่ใจขนาดไหน


"จิตใต้สำนึกเรียนรู้มาตั้งแต่เกิดและบางอันนำมาใช้เมื่ออยู่ในจิตสำนึก บางอันเราเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก บางส่วนก็กลายเป็นสามัญ สำนึกไป บางส่วนก็อยู่ในความทรงจำในส่วนที่ลึกกว่า"


นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและครอบครัว บอกอีกว่า ดังนั้นการใส่ข้อมูลที่ว่าดีหรือไม่ดีต้องให้ตั้งแต่เด็กเล็กที่เรียนรู้ด้วยจิตใต้สำนึกจะมีผลจนโต เช่น เมื่อเป็นผู้ใหญ่มีจิตสำนึกจะรู้ว่าสูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นการให้ข้อมูลที่ดีในช่วงของการเรียนรู้ของสมองด้วยจิตใต้สำนึก อยู่ที่ว่าพ่อแม่ให้อะไรในช่วงที่สมองกำลังเรียนรู้ด้วยจิตใต้สำนึก ได้เปิดประสาททุกด้านหรือไม่ ไม่ว่าการกระตุ้นให้เคลื่อนไหวร่างกาย เล่น กระโดดโลดเต้น กิน หูฟัง ได้เห็น ได้ดมกลิ่น เปิดทุกด้าน ทำให้เกิดการเรียนรู้


ผู้ใหญ่มักมองข้ามเด็กเล็กไปเหมือนกับเด็กไม่รู้เรื่อง เหมือนกับทำอะไรไม่เป็น แต่ในช่วงอายุ 3-6 ขวบนั้นคือช่วงเก็บข้อมูล เด็กหลังจากผ่านอายุวัยนี้แล้วจะไม่ถามเพราะเริ่มคิดเป็นแล้ว แต่จะคิดไม่เป็นหากไม่มีฐานที่ดีมาจากจิตใต้สำนึกที่ดี ที่มาจากประสาทสัมผัสทั้งหก


พญ.จันทร์เพ็ญ บอกเล่าเรื่องสมองต่อไปว่าสมองมนุษย์ทำงาน 24 ชม. ขณะที่เราหลับสมองทำงานอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่น เด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดถึงประถมศึกษา สมองต้องการเวลาให้ร่างกายพักผ่อนนานเพราะว่ามีพื้นที่ฮิปโปแคมปัสเป็นศูนย์กลางในการจัดระบบความจำ ซึ่งสำคัญมากจะทำงานในช่วงที่เด็กหลับ


เนื่องจากเวลากลางวันสัมผัสทั้งหกของเด็กเก็บข้อมูลไว้ทั้งหมด ทุกอย่างที่เล่นที่เจอ จะจำเข้าไปอยู่ในสมองหมด เวลาที่ข้อมูลเข้าไปอยู่ในสมองจะแยกเป็นส่วน ๆ ไม่ใช่เข้าไปแบบน้ำหนึ่งขวด เช่น น้ำอยู่ในขวดน้ำ สมองจะมีความสามารถในการเชื่อมข้อมูลที่เก็บไว้ที่แยกส่วนมา แต่มีเงื่อนไขว่าเด็กต้องเล่นหรือสัมผัสมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เด็กจะจำได้ทั้งหมด


บ่มเพาะพลังสมอง...สร้างชีวิตให้มหัศจรรย์ thaihealthดังนั้นเวลากลางคืนเด็กเล็กต้องนอน 9-10 ชม. ข้อมูลที่ได้จะเก็บไว้ตามลิ้นชักสมองตามที่ควรจะอยู่เพื่อให้เป็นระเบียบ ถึงเวลาจะใช้ดึงมาเชื่อมกัน แล้วรู้ว่าเป็นขวดน้ำ


"เพราะฉะนั้นเด็กที่นอนน้อยจึงมีปัญหาเพราะข้อมูลไม่ถูกจัดเป็นระบบ เด็กสมัยนี้จึงมีปัญหาเรื่องสมาธิสั้น เรียนช้า เพราะว่าเด็กไม่สามารถไปจัดระบบคิดจำได้ เวลานำมาใช้จึงสะเปะสะปะ โดยเฉพาะเด็กในเมือง สมองในวัยเด็กใช้เยอะเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วถ้าเราไม่ได้ทำอะไรใหม่ ๆ เรียกว่าสมองอัตโนมัติ เพราะตามชีวิตประจำวันใช้ประมาณ 10% ดังนั้นเมื่อโตขึ้นเจอเรื่องยากจะคิดไม่ออก" นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง ชี้ให้เห็นความสำคัญของสมอง


"การเล่นไอแพดใช้นิ้วเดียวในการรูดไปมาใช้แค่เปอร์เซ็นต์เดียวเท่านั้น สมองคนมีพลังมากและอยู่เฉยไม่ได้ สังเกตพ่อแม่ไม่อยากให้เด็กซนให้เล่นแท็บเล็ต ไปดูทีวี เท่ากับเสียพลังสมองที่มหัศจรรย์ไป หากเด็กไม่ได้รับการส่งเสริมใช้พลังสมองให้เหมาะสมกับอายุ ระดับจริยธรรม และระดับสติปัญญา สมองสัตว์เลื้อยคลานจะมาเป็นใหญ่เพราะสมองสัตว์เลื้อยคลานไม่ได้ฝึก จึงมุ่งเอาตัวรอดและสืบพันธุ์ จึงเป็นเรื่องที่ต้องระวัง" พญ.จันทร์เพ็ญ อธิบาย


"สมองมีความสามารถเยอะมาก ไม่เช่นนั้นเราจะมีไอน์สไตน์ มีพระพุทธเจ้าในยุคที่ไม่มีเครื่องมืออะไรเลยแต่เราคิดค้นเรื่องของ จักรวาลได้เพราะพลังสมองโดยแท้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ผลักภาระไปให้กับครู 6 ปีแรกพ่อแม่ทิ้งไม่ได้ ไม่ใช่แค่ 3 ขวบผลักให้เข้าอนุบาล พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบที่ดีของความเป็นมนุษย์ ต้องคิดเป็น คิดมีเหตุผล และรู้วิธีที่แก้ปัญหาได้" พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าวทิ้งท้าย.


 


 


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดย พรประไพ เสือเขียว

Shares:
QR Code :
QR Code