บุหรี่ไฟฟ้าหนักกว่าฝุ่นก่อโรคหัวใจขาดเลือด

 ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


 บุหรี่ไฟฟ้าหนักกว่าฝุ่นก่อโรคหัวใจขาดเลือด thaihealth


แฟ้มภาพ


          แพทย์เผยงานวิจัยบุหรี่ ไฟฟ้าก่อให้เกิด PM 2.5 สูงถึง 19,972 มคก./ มล.ม. ซ้ำเป็นสาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ เสี่ยงเกิดโรคเส้นเลือด สมองตีบสูงขึ้น 71%, โรคหัวใจวายเฉียบพลันสูงขึ้น 59%, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดสูงขึ้น 40% นอกจากนี้ยังพบอัตราการสูบบุหรี่ธรรมดาในกลุ่มผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงขึ้นเป็น 2 เท่า


           พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกใบ อนุบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ โดยเฉพาะประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดประเภทหรือชื่อของสถานที่สาธารณะ สถานที่ทำงาน และยานพาหนะ ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสถานที่และยานพาหนะ เป็นเขตปลอดบุหรี่ หรือเขตสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ พ.ศ. 2561 โดยจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 3 ก.พ. 2562 เป็นต้นไป


          โดยเจตนารมณ์ของประกาศกระทรวงฉบับนี้กำหนดให้สถานที่สาธารณะยานพาหนะ และที่ทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นเขตปลอดบุหรี่ทั้งหมด รวมทั้งระยะ 5 เมตรจากทางเข้าออกสวนสาธารณะ ตลาด ป้ายรถเมล์ หรือปั๊มน้ำมัน เป็นเขตปลอดบุหรี่ทั้งหมด ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคและกรุงเทพมหานคร ขอความร่วมมือผู้ประกอบการติดสติกเกอร์รณรงค์ห้ามสูบบุหรี่ พร้อมทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวหากพบว่ายังฝ่าฝืน มีโทษตามกฎหมาย ปรับไม่เกิน 5,000 บาท


          ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวถึง รายงานวิจัยใหม่โดย Dr. Paul M Ndunda และDr. Tabitha M Muutu แห่งคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย Kansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เปิดเผยในงานประชุมวิชาการโรคหลอดเลือดสมองระดับนานาชาติ (the American Stroke Association's International Stroke Conference 2019) พบความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่ไฟฟ้ากับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด คือ สูบบุหรี่ไฟฟ้าเสี่ยงเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบสูงขึ้น 71%, โรคหัวใจวายเฉียบพลันสูงขึ้น 59%, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดสูงขึ้น 40% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่


          โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้ใช้ข้อมูลสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่มีกลุ่มผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า 66,795 คนเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 343,856 คน ซึ่งจากผลวิจัยนี้ Dr. Ndunda แนะนำว่าคนไม่สูบบุหรี่ไม่ควรทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า สำหรับคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ควรพิจารณาเลิกสูบ และหากสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อต้องการเลิกสูบบุหรี่มวนควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีที่ปลอดภัยมากกว่าซึ่งปัจจุบัน FDA ยังไม่อนุมัติให้บุหรี่ไฟฟ้าใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยเลิกบุหรี่


          ดร.พญ.เริงฤดี ยังได้เปิดเผยงานวิจัยของ Dr. Paul Melstrom และคณะจาก CDC ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการทดลองในห้องปิดขนาด 52.6 ตร.ม. โดยในห้องมีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้า 3 คนนั่งปนกับคนไม่สูบบุหรี่ 6 คน และให้คนสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเวลา 2 ชม. จากนั้นทำการวัดค่า PM 2.5 และฝุ่นขนาดที่เล็กกว่า (ultrafine particle) รวมทั้งปริมาณนิโคตินในอากาศ เสื้อผ้าและผนังห้อง การศึกษาพบว่า บุหรี่ไฟฟ้าประเภทเป็น tank เติมน้ำยา จะก่อให้เกิดฝุ่นพิษ PM 2.5 ในห้องดังกล่าว สูงสุดถึง 19,972 มคก./มล. (โดยค่าเฉลี่ยตลอดระยะเวลาที่ทดลองเท่ากับ 1,454 มคก./มล.) ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าประเภทแท่งแบบใช้ครั้งเดียว หรือ disposable e-cigarettes ทำให้เกิดฝุ่นพิษ PM 2.5 สูงสุดถึง 19,961 มคก./มล. (โดยค่าเฉลี่ยตลอดระยะเวลาที่ทดลองเท่ากับ 788 มคก. /มล.)


          นอกจากนี้ยังพบบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคตินสูง ตรวจพบปริมาณนิโคตินในกลุ่มที่ไม่ได้สูบบุหรี่ที่อยู่ในห้องขณะที่มีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงขึ้นเกือบ 180 เท่าจากค่าปกติก่อนเริ่มทดลอง และพบสารนิโคตินตกค้างตามผนังห้อง พื้นห้อง ประตู หลังจากสูบบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จแล้ว สูงขึ้นกว่า 10 เท่าเทียบกับก่อนมีการสูบ จากข้อมูลที่ได้พิสูจน์ถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าทั้งต่อตัวผู้สูบเองและคนรอบข้าง ย้ำวัยรุ่นไม่ควรทดลอง คนที่สูบอยู่แล้วควรจะเลิกเพื่อสุขภาพที่ดี และบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางเลือกของการเลิกบุหรี่


 

Shares:
QR Code :
QR Code