นักวิชาการหนุนฟื้นวิชาหน้าที่พลเมือง
"สมพงษ์" หนุนนำวิชาหน้าที่พลเมืองกลับมาสอนใหม่ หวั่นศีลธรรมความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สูญหาย
เมื่อวันที่ 25มิ.ย.57 รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าโครงการการบูรณาการพลังเด็กและเยาวชนกับพลังชุมชนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านเด็กและเยาวชน ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็กเยาวชนและครอบครัว สสส. จัดประชุมผู้ประสานงานเครือข่ายภูมิภาค(NODE) เพื่อชี้แจงบทบาทหน้าที่ และรายละเอียดการดำเนินงาน การกำหนดกรอบการดำเนินงาน แนวทางกำกับติดตามและการประเมินผลโครงการลูกข่าย รวมถึงการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จเชิงบูรณาการพลังเด็กและเยาวชนกับพลังชุมชนท้องถิ่น โดยกล่าวตอนหนึ่งว่าขณะนี้ คสช.ให้ความสำคัญกับนโยบายด้านการศึกษาในระบบเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะการนำวิชาหน้าที่พลเมืองกลับมาสอนใหม่ เนื่องจากเรื่องประวัติศาสตร์ศีลธรรมความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ลดน้อยลง เพราะโครงสร้างหลักสูตร และองค์ความรู้ทั้งหลายของไทยไปอิงทุนนิยมตามชาติตะวันตก ซึ่งความเป็นชาติไทยมีไม่ถึง 10% จากการเดินทางไปต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี หรือประเทศอื่นๆ เมื่อคนในชาติถูกปลุกกระแสให้นิยมชาติตัวเองจะสามารถรับรู้การรักชาติของประเทศเหล่านี้ได้ชัดเจน เนื่องจากประชาชนถูกสอนให้รู้จักทุนในประเทศของตนเองก่อนจะไปเรียนรู้ทุนในชาติตะวันตก ดังนั้น เมื่อคนในชาติตระหนักเข้าใจและจัดการทุนประเทศตัวเองได้แล้ว เรื่องการจัดการทุนชาติตะวันตกก็จะง่าย
การสอนประวัติศาสตร์ ต้องมีทุนในการสอน 3 เรื่อง คือ 1.ทุนของท้องถิ่น เด็กจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตองค์ความรู้เดิมที่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย สืบทอดมาจากบรรพบุรุษโดยนำไปทำกิจกรรมผ่านกระบวนการเรียนรู้ เกิดสำนึกรักถิ่นฐานตนเอง 2.ทุนสถาบันพระมหากษัตริย์ และ 3.ทุนประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเฉพาะในปี 2558 การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การเรียนรู้ทุนทางประวัติศาสตร์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น การอยู่ร่วมกันทัศนคติที่ดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน และการชำระประวัติศาสตร์ในความคิดทางลบการดูถูกเหยียดหยาม ฉะนั้น การสอนวิชาพลเมืองจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องนำกลับมาสอน ส่วนเรื่องการกระจายอำนาจควรแบ่งสัดส่วนให้ส่วนกลาง 30% อีก 70%ให้ท้องถิ่นบริการจัดการตนเอง ซึ่งถ้ากำหนดเป็นกฎหมายได้จะเป็นเรื่องที่ดี เป็นแนวโน้มที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
“ผู้ประสานงานเครือข่ายภูมิภาค ทำหน้าที่เหมือนกับการเข้าไปเตรียมเด็กรุ่นต่อไปในพื้นที่ เพราะเป็นผู้ที่มีต้นทุนชีวิต ต้นทุนทางสังคม ต้นทุนทางวัฒนธรรม และเห็นความสำคัญ ไม่ว่าจะให้ทำกิจกรรมอะไรก็ตามก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือเสมอ จึงมีความแตกต่างกับเด็กในปัจจุบัน จากการสำรวจข้อมูลเด็กและเยาวชนใน 12 พื้นที่ของโครงการพบเด็กและเยาวชนที่เป็นเด็กดีมีจิตใจรักท้องถิ่น รู้จักกาลเทศะ แม้จะมีไม่มาก แต่พร้อมสู้เต็มที่และมีความปรารถนาดีในการทำกิจกรรม ฉะนั้น อยากเห็นกลไกการขับเคลื่อนของผู้ประสานที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชน (NODE) ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดนักกิจกรรมรุ่นใหม่อย่างไรก็ตามยืนยันว่าเด็กที่จะเข้าไปทำกิจกรรมย่อมมีอุปสรรคจะทำให้ท้อถอยได้ง่าย แต่หากมีผู้ใหญ่ คอยสนับสนุนและให้คำปรึกษาจะทำให้เด็กพร้อมทำกิจกรรมต่อ และขอฝากเรื่องการถอดบทเรียนการทำงานร่วมกับคนในพื้นที่ให้ช่วยกันขับเคลื่อนการทำงานกับท้องถิ่นจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ที่มา: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต