นศ.บุก’มาบตาพุด’ศึกษาปัญหา’ชุมชน’

นศ.บุก’มาบตาพุด’ศึกษาปัญหา’ชุมชน’

         

            จากการที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับคณะวิชา สำนักงานประกันคุณภาพการศึกษาและกองกิจการนักศึกษา และเครือข่ายวิชาการเพื่อการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ มหาวิทยาลัยศิลปากร มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกันจัดทำโครงการพัฒนาผู้นำนักศึกษา ให้มีส่วนร่วมกับชุมชน ในการรักษาสิทธิ์ เพื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรม เพื่อนำมาสู่การปรับปรุงการดูแลประชาชนของภาครัฐ และอุตสาหกรรมจากมุมมองของผู้นำนักศึกษา

           

“ฝึกผู้นำนักศึกษา เรียนรู้-คิด-ทำ” โดยโครงการนี้ จัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ปัญหาสังคมไทย ที่เกิดจากนโยบายรัฐ และรวบรวมข้อมูลชุมชนในด้านความต้องการของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรม ให้มีการปรับปรุงการทำงานของภาครัฐและเอกชน ในการลดผลกระทบของมลพิษต่อสุขภาวะของประชาชน

           

รวมทั้ง ให้นักศึกษาได้เห็นสภาพจริงของชุมชน ค้นหาข้อเท็จจริง และเก็บข้อมูลชุมชนด้านความต้องการของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมมาวิเคราะห์ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางปรองดอง จากมุมมองของผู้นำนักศึกษา ให้ผู้นำนักศึกษาได้กระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของนักเรียนในพื้นที่ เพื่อดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 

            ขณะเดียวกัน เพื่อฝึกนักศึกษาให้มีส่วนร่วม ในการบำเพ็ญประโยชน์ และตระหนักในความยากลำบากของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบต่อนโยบายของรัฐ และนำประสบการณ์ไปใช้วางแผนการทำงานให้รัดกุมรอบคอบและระมัดระวัง ทั้งขณะเป็นนักศึกษาและเมื่อเป็นบัณฑิต รวมถึง เพื่อให้มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ทำหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษา ในด้านการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของชุมชน สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2550

           

เลือกเผชิญปัญหาที่ มาบตาพุด โดยม.ศิลปากรได้เลือกมาบตาพุด จ.ระยอง เป็นพื้นที่เพื่อให้ผู้นำนักศึกษาเป็นกระบอกเสียงแทนชาวบ้าน

 

            อาจารย์เรณู เวชรัชต์พิมล อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม ในฐานะนักวิจัยเพื่อมวลชน กล่าวว่า ความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่มาบตาพุด ต้องประสบปัญหาสภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษ อันเนื่องมาจาก การปล่อยของเสียและการรุกล้ำเข้ามาบริเวณพื้นที่สีเขียว ซึ่งขณะนี้ ยังเป็นปัญหาที่รอการแก้ไขจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน

           

อาจารย์เรณู กล่าวต่อว่า ตนได้มองถึงปัญหาสังคมไทยแล้วมีความรู้สึกว่า เยาวชนและนักศึกษา ไม่มีความสนใจปัญหาสังคมในภาพรวม ทั้งนี้ ก็เห็นถึงศักยภาพของผู้นำนักศึกษา จึงเปิดโอกาสให้ผู้นำได้เข้ามาเรียนรู้ปัญหาสังคมไทย โดยการลงพื้นที่

           

สาเหตุที่เลือกพื้นที่ของมาบตาพุดนั้น เพราะว่าพื้นที่นี้มีปัญหาใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็มีสื่อออกมาให้ข่าวว่าปัญหาของมาบตาพุดได้รับการแก้ไข และการช่วยเหลือไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่จริง มาบตาพุดยังไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือการแก้ไขปัญหาใดๆ เลย” อาจารย์เรณู กล่าว

 

            อย่างไรก็ตาม การให้นักศึกษาลงพื้นที่ก็เพื่อให้นักศึกษาได้เก็บข้อมูลด้วยตัวเอง ได้รับรู้ถึงผลกระทบของชาวบ้าน เพื่อไปบอกกล่าวเรื่องราวต่างๆ ให้กับเพื่อนหรือสาธารณชนได้รับรู้ถึงความทุกข์ของชาวบ้าน โดยที่ได้ฟังจากชาวบ้านจริง รวมทั้งได้รับรู้รับทราบถึงการดูแลจากรัฐบาลมากน้อยเพียงใด และชาวบ้านต้องการอะไร สำหรับข้อมูลที่ได้มานั้น หากข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่จะเข้ามาช่วยเหลือหรือแก้ไข ก็จะเสนอข้อมูลนั้นให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

           

นอกจากนี้ อยากให้นักศึกษาได้รับการฝึกความอดทน และสามารถต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน ตลอดจนได้รับทราบถึงปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ตระหนักและระมัดระวังการสร้างผลกระทบกับผู้อื่น

           

ทั้งนี้ การแก้ปัญหาสามารถแก้ไขได้ โดยการหยุดขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ตลอดจนปลูกต้นไม้ล้อมรอบโรงงาน และปลูกต้นไม้ในพื้นที่สีม่วงที่ไม่ได้ใช้งาน หากมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาร่วมกันก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ขณะเดียวกันท้องถิ่นก็ต้องมีความเข้มแข็ง

            น.ส.อัจฉราพรรณ ภูขันซ้าย ผู้นำนักศึกษาจาก ม.ศิลปากรที่ได้ร่วมลงพื้นที่ กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจและเข้าใจปัญหาที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่ บางครอบครัวต้องย้ายออกจากพื้นที่ บางครอบครัวก็ยังอยู่ เพราะยังรักและอยากจะอยู่ที่บ้านเกิด แต่ก็ต้องทนอยู่กับสภาวะสภาพแวดล้อมเป็นพิษ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ สุขภาพอาชีพ ในชีวิตประจำวันพอสมควร

 

            จากการลงพื้นที่ทำให้ได้เรียนรู้และทราบความจริงจากชาวบ้าน ได้ฟังสิ่งที่ชาวบ้านรู้สึกถึงชาวบ้านจะเป็นเพียงเสียงเล็กๆ ของสังคม แต่ชาวบ้านก็มีสิทธิ์ในสังคมเช่นกัน การแก้ไขปัญหาทุกฝ่ายต้องหารือในการหาทางออกร่วมกันอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน โรงงาน และรัฐบาลเพราะทุกปัญหามีทางออก ถ้าทุกฝ่ายยืนอยู่บนความจริง และเดินตามทางที่ถูกต้อง” น.ส.อัจฉราพรรณ กล่าว

 

            นายอนิวัฒน์ ปงเทพ กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจชาวบ้าน เพราะเป็นบ้านเกิดของทุกคน ทุกคนต้องช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมไว้ให้ยาวนานแต่กลับมีคนอื่นที่ไม่ใช่คนในพื้นที่มาทำลาย และยังทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอีกด้วย

           

นายอนิวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ จะเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงแก้ไขได้อย่างตรงจุด อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น จะต้องช่วยกันรณรงค์ปลูกฝังจิตสำนึกให้กับตนเองและคนอื่น ถึงเรื่องผลกระทบทางภาคอุตสาหกรรม รวมถึงช่วยเผยแพร่ความรู้ให้กับชาวบ้าน ถึงแม้จะทำอะไรไม่ได้มากแต่ก็ต้องร่วมมือช่วยกันต่อไป

           

เด็กแนะรัฐบาลต้องตระหนักรากหญ้า โดย นายปฐมรัตน์ จันทนนท์ หนึ่งในผู้นำนักศึกษา กล่าวว่า รู้สึกกังวลและเป็นห่วงต่อผลกระทบที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกเห็นใจที่ชาวบ้านต้องทนทุกข์กับมลภาวะที่เป็นพิษ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น การได้ลงพื้นที่จริง ทำให้ได้รับเสียงสะท้อนและความคิดเห็นของชาวบ้าน ว่าเขาเดือดร้อนจริงๆ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหา ชาวบ้านจะต้องติดตามข่าวสารและมีความรู้ในเรื่องสิทธิ์ของตนเอง ที่สามารถเรียกร้องได้ ภายใต้กรอบของกฎหมาย รวมทั้งร่วมกันปลูกจิตสำนึกของคนในท้องถิ่นให้หวงแหน รักษาท้องถิ่นของตน

           

ผมอยากให้ภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ ตระหนักถึงความเป็นอยู่ของรากหญ้า มิใช่แค่เร่งพัฒนาด้านใดด้านหนึ่ง การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับภาคประชาชน ควรทำอย่างจริงจังและตรวจสอบติดตาม ควรมีกองทุนเพื่อพัฒนาชายหาดให้สวยงามสะอาด ปราศจากมลพิษ เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวให้ฟื้นฟูขึ้น” นายปฐมรัตน์ กล่าว

           

ส่วน นายณัฐพัฒน์ เอื้อจุฑามณี กล่าวว่า ได้เห็นผลกระทบถึงการทำมาหากินของชาวประมงหาดตากวนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้รายได้ลดลง ขณะที่รายจ่ายกับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ต้องซื้อน้ำอุปโภคบริโภค เพราะไม่สามารถที่จะใช้น้ำฝนได้ การขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและการถมทะเลออกไปนั้น ทำให้พื้นที่ในการประมงถูกจำกัดให้แคบลง เพราะถูกขนาบด้วยพื้นที่ของโรงงาน ส่งผลให้ปริมาณสัตว์ลดน้อยลงตามไปด้วย ถ้าหากต้องการปริมาณเพิ่มขึ้น ก็ต้องใช้เรือออกไปอีกฟากหนึ่งของโรงงาน ทำให้บางครั้งเกิดอันตราย เนื่องจากต้องออกไปบริเวณเขตน้ำลึก ซึ่งการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ต้องช่วยกันรณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ให้ปลอดภัยที่สุด”

           

ในด้านของเรียกร้องหาจิตสำนึกต่อชุมชนและสังคม นายสุริยา คูณพันธ์ มีความคิดเห็นว่า เมื่อตั้งโรงงานก็จะต้องมีพนักงาน ทำให้มีคนนอกพื้นที่เข้ามาอาศัย เพื่อที่จะทำงานในท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านมีความกลัว ขณะเดียวกันชาวบ้านก็ต้องทนกับสภาพมลพิษในเขตอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐและเอกชน องค์กรชุมชน หรือหน่วยงานที่มีบทบาท เข้ามาพูดคุยและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ได้ข้อตกลงร่วมกันและไม่ขัดแย้งซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมกันปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง ตลอดจนสร้างชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดระยอง

           

ด้าน นายวรากรณ์ วุฒิสาร ได้แสดงความเห็นว่า รู้สึกเห็นใจชาวบ้านที่ได้รับความทุกข์ จากการลงพื้นที่จริงทำให้ทราบถึงปัญหาของชาวบ้าน แนวทางการแก้ไขปัญหาต้องให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น เช่น การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ เป็นต้น ส่วนปัญหาที่แท้จริงจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาปัญหาที่แท้จริง ซึ่งอาจจะไม่ได้เกิดจากโรงงาน แต่อาจจะเกิดจากบุคลากรที่มีการปล่อยปละละเลย

           

ปัญหาจะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อทุกคนมีจิตสำนึกและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น” เป็นบทสรุปที่นักศึกษาคิดได้และรอให้ผู้มีอำนาจได้คิดเช่นกัน

เรื่องโดย : นายคัคนานต์ ดลประสิทธิ์ 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

 

update : 11-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :  ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน

 

Shares:
QR Code :
QR Code