นครแห่งการอ่าน พัฒนาเด็กปฐมวัย

นำร่องสู่การขยายผลทั่วประเทศ

 

 นครแห่งการอ่าน พัฒนาเด็กปฐมวัย

 

          การอ่าน” เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ นายแพทย์ และนักจิตวิทยา ว่าเป็นก้าวแรกอันสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความรู้เพิ่มมากขึ้น มีการพัฒนาการของสมองกว้างขึ้น และมีโลกทัศน์กว้างขึ้น

 

          แต่สำหรับประเทศไทยมีความน่าเสียดายที่ผลจากการสำรวจข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเด็กไทยอ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัดต่อวัน ซึ่งเป็นสถิติที่น่าตกใจมาก ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมมือกัน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว และปลูกฝังให้เด็กไทยรักการอ่านมากขึ้น โดยจะต้องเริ่มตั้งแต่เด็กระดับปฐมวัยเป็นต้นไป

 

          แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีโครงการที่จะเปิดหน้าต่างแห่งโอกาสให้กับเด็กไทย ด้วยการจัดโครงการ “หนังสือคัดสรร 108 หนังสือดี เปิดหน้าต่างแห่งโอกาสในการพัฒนาเด็กปฐมวัย” ซึ่งจะร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ส่งเสริมให้เกิด “นครแห่งการอ่าน” ขึ้น โดยจะส่งมอบหนังสือเหล่านี้ไปยังครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัย และสร้างเครือข่ายกิจกรรมการอ่านในพื้นที่ โดยเริ่มนำร่องใน 5 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช, เพชรบุรี, ลำปาง, ฉะเชิงเทรา และขอนแก่น

 

          นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน เปิดเผยถึงเรื่องนี้ ว่า การคัดสรรหนังสือดีครั้งนี้ มีหนังสือส่งเข้าร่วม 2,800 เล่ม โดยคณะกรรมการได้คัดเลือกหนังสือทั้งหมด จนเหลือหนังสือภาพที่มีคุณภาพสำหรับเด็กปฐมวัยรวม 108 เล่ม เป็นหนังสือภาพของไทย 67 เรื่อง หนังสือจากต่างประเทศ 41 เรื่อง โดยเป็นหนังสือสำหรับเด็ก 0-2 ขวบ 14.8%, เด็ก 2-4 ขวบ 41.7% และเด็ก 4-6 ขวบ 43.5%

 

          เมื่อได้หนังสือดีสำหรับเด็กทั้ง 108 เรื่องแล้ว หลังจากนี้นครแห่งการอ่านทั้ง 5 จังหวัด จะต้องนำหนังสือไปเผยแพร่และส่งเสริมการอ่านให้ทั่วทั้งจังหวัด โดยจะมีตัวชี้วัดที่สำคัญคือ เด็กเกิดใหม่ทุกคน หรือเด็ก 0-6 ปี จะต้องได้อ่านหนังสือชุดนี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 เล่ม และในอนาคตจะผลักดันนครแห่งการอ่านให้เกิดขึ้นทั่วประเทศให้เร็วที่สุด

 

          การคัดสรรหนังสือทำให้เกิดประโยชน์ทั้งผู้ใช้หนังสือ และสำนักพิมพ์ โดยผู้ใช้หนังสือจะได้เห็นว่าหนังสือดีที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันก็จะช่วยให้สำนักพิมพ์ผลิตหนังสืออย่างมีเป้าหมายและสร้างสรรค์มากขึ้น ทั้งนี้ดิฉันอยากเห็นองค์กรหรือหน่วยงานที่ทำงานด้านสาธารณกุศล ได้เข้ามาสนับสนุนหนังสือทั้ง 108 เล่ม เพื่อทำให้หนังสือเหล่านี้ไปถึงมือเด็กที่ขาดโอกาสต่อไป เพราะเด็กในวัย 0-6 ปี เป็นช่วงที่เด็กมีพัฒนาการทางสมองสูงมากกว่า 80% ดังนั้นถ้าช่วยเสริมให้เด็กได้อ่านหนังสือจะเกิดประโยชน์มาก” นางสุดใจ กล่าว

 

 นครแห่งการอ่าน พัฒนาเด็กปฐมวัย

 

          รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สสส. เผยผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2551 เรื่องการอ่านหนังสือของเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี ว่า เด็กเล็กมีอัตราการอ่านหนังสือ 36% คิดเป็น 2.1 ล้านคนจาก 5.9 ล้านคนทั่วประเทศ ใช้เวลาในการอ่านหนังสือเฉลี่ย 27 นาทีต่อวัน ความถี่ในการอ่านสัปดาห์ละ 2-3 วัน และเมื่อสำรวจตลาดหนังสือเด็ก พบว่า มีหนังสือสำหรับเด็กเล็ก 4-5% ของหนังสือในร้าน โดยมีหนังสือสำหรับเด็กอายุ 0-3 ปีไม่ถึง 0.5% และเป็นหนังสือสำหรับเด็กอายุ 6-12 ประมาณ 4-7% 

 

          ผลการสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เด็กช่วงอายุ 0-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ควรได้รับการพัฒนาการมากที่สุด กลับกลายเป็นช่วงที่ได้รับการส่งเสริมให้มีการอ่านน้อยมาก ส่งผลให้ตลาดหนังสือของเด็กในวัยนี้น้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากในเมื่อความต้องการน้อย ผู้ผลิตก็จะผลิตออกมาน้อย และเมื่อมีหนังสือน้อย เด็กก็จะไม่ถูกกระตุ้นให้อยากอ่านหนังสือ ดังนั้นปัญหานี้จึงต้องช่วยกันทุกฝ่าย โดยเริ่มจากพ่อแม่ และโรงเรียน ที่ต้องช่วยกันปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ขณะเดียวกันผู้ผลิตหนังสือก็ต้องหันมาผลิตหนังสือที่เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยให้มากขึ้นด้วย” รศ.ดร.วิลาวสินี กล่าว

 

          ขณะที่ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า มั่นใจว่าเมื่อ 5 จังหวัดนำร่องเป็นนครแห่งการอ่าน ก็จะเกิดการขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นๆ เพื่อสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นทั่วประเทศได้ในที่สุด โดยในส่วนของรัฐบาลก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ และกำหนดให้วันที่ 2 เม.ย. ของทุกปีเป็นวันรักการอ่าน อีกทั้งยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมการอ่านให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น

 

          เมื่อเร็วๆ นี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบมาตรการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้บริจาคหรือซื้อหนังสือให้แก่สถานศึกษาหรือห้องสมุด และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องมาตรการลดหย่อนภาษีกระดาษและฐานภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ผลิตหนังสือและโรงพิมพ์ เพื่อให้ราคาหนังสือลดลง จึงเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้จะเป็นแรงจูงใจที่สำคัญให้คนไทยอ่านหนังสือมากขึ้น และซื้อหนังสือราคาที่ถูกลงด้วย” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

 

          หากทุกฝ่ายร่วมด้วยช่วยกันในการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่องแบบนี้ เชื่อแน่ได้ว่าสถานการณ์การอ่านหนังสือของคนไทยคงจะดีขึ้นตามลำดับ และจะเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า

 

 

Update : 20-10-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : กิตติภานันทร์ ลีจันทึก

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code