ทุกข์ที่ซ้ำ-กรรมที่ซัด!!
‘ภัยน้ำ-ภัยหนาว‘ ‘โรคภัยไข้เจ็บ‘ ดุแน่
นอกจากจะต้องเดือดร้อนเรื่องการใช้ชีวิต การกิน – การอยู่การประกอบอาชีพแล้ว ผลพวงจาก “ภัยน้ำท่วม” ยังทำให้ผู้ที่ต้องเผชิญภัยนี้จำนวนมากต้อง “เจ็บไข้ได้ป่วย” ทั้งทางใจ – ทางกาย และบางรายก็ต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ – จากการคิดมากจนคิดสั้น ดังที่ได้ทราบกันจากรายงานข่าว และไม่เท่านั้น…ทับซ้อนกับภัยจากน้ำ อีกหนึ่งภัยคือ “ภัยหนาว” ตอนนี้ก็กำลังคืบคลานเข้าคุกคามคนไทยในหลายพื้นที่แล้ว
คนไทยในหลายพื้นที่อาจเผชิญ “ทุกข์ซ้ำ-กรรมซัด”
หากไม่ป้องกัน-ถ้าภาครัฐไม่ช่วยป้องกัน…คงจะแย่!!
ทั้งนี้ แม้จะเป็นเรื่องเก่า แต่ก็จำเป็นต้องตอกย้ำกันใหม่ ซึ่งว่ากันเฉพาะ “โรคทางกาย” ผลพวงจากปัญหาน้ำท่วมนั้นก็มีไม่น้อยแล้ว โดยโรคที่มากับสายน้ำนั้น มีอาทิ…โรคเท้าเปื่อย โรคน้ำกัดเท้าหรือฮ่องกงฟุต ที่เกิดจากการลุยน้ำ – แช่น้ำสกปรกเป็นเวลานานจนเกิดติดเชื้อ, โรคสังคังเกิดจากเชื้อราและความอับชื้น, โรคตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัส, โรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ เช่น หวัด เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบจนถึงขั้น ปอดบวมซึ่งเป็นแล้วมีสิทธิ “เสียชีวิต” ได้, โรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร เกิดจากการดื่มน้ำหรือกินอาหารที่ไม่สะอาด เช่น ท้องร่วง, อาหารเป็นพิษ, บิด, ไทฟอยด์, อหิวาตกโรค, ตับอักเสบ กลุ่มหลังนี่บางโรครักษาไม่ทันก็อาจถึงตายได้ง่ายๆ
โรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส นี่ก็น่ากลัว เพราะเชื้อมักแพร่ระบาดจากในโคลนตม ในดินที่ชื้นแฉะ ดังนั้นช่วงหลังน้ำลดจึงเป็นเวลาที่ต้องระวังที่สุด นอกจากนี้ โรคที่น่าเป็นห่วงในช่วงหลังน้ำลดอีกโรคหนึ่ง ซึ่งก็น่ากลัวเช่นกัน ก็คือ โรคไข้เลือดออกที่เกิดจากยุงลาย ซึ่งเกิดได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่ก็มีสิทธิถึงตายได้พอกัน
โรคไข้สมองอักเสบเจอี นี่ก็อีกโรคอันตราย เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโดยมียุงรำคาญที่แพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งเป็นพาหะ ยุงจะได้รับเชื้อไข้สมองอักเสบเจอีขณะกินเลือดสัตว์ โดยเฉพาะหมู คนที่ติดเชื้อในรายที่มีอาการจะมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียนอ่อนเพลีย หากอาการรุนแรงจะไม่รู้สึกตัว และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด หรือบางรายแม้จะหายป่วยแต่ก็อาจ “พิการทางสมอง” หรืออาจเป็น “อัมพาต”
นอกจากนี้ โรคที่ประมาทไม่ได้อีกโรคหนึ่งก็คือโรคระบาดที่ติดเชื้อจากบาดแผล โรคคลอสทริเดียมหรือ โรคแกงกรีนหรือไฟลามทุ่ง ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย อาศัยและเติบโตในดิน ทรายโคลน ลำไส้คนและลำไส้สัตว์ เมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ และแผลเป็นพิษ ขึ้นอยู่กับทางเข้า – ชนิดของเชื้อ โรคนี้คร่าชีวิตคนได้ง่ายๆ ซึ่งที่ผ่านมาในเมืองไทยก็เคยมีคนตายเพราะโรคนี้หลังเผชิญภัยน้ำท่วมอยู่เนืองๆ
เหล่านี้เป็นตัวอย่างโรคที่ต้องระวังให้ดีในพื้นที่น้ำท่วมและภาครัฐต้องมีมาตรการป้องกันให้มากกว่ารักษา!!นอกจากเฉพาะหน้าในช่วงมีภัยน้ำท่วมแล้ว คนไทยในหลายๆ พื้นที่ประสบภัย และรวมถึงภาครัฐ ก็ต้องไม่มองข้ามโรคภัยที่จะเกิดขึ้นซ้ำซ้อน-ต่อเนื่อง นั่นคือโรคในช่วงมี “ภัยหนาว” ซึ่งก็น่ากลัวหลายโรค
ช่วงที่อากาศหนาวอาจมีโรคเกิดขึ้นมากผิดปกติหลายโรค ยิ่งปีนี้คาดว่าจะหนาวมาก และบางพื้นที่ก็อาจเริ่มหนาวซ้อนกับน้ำท่วมก็ยิ่งน่าห่วง โดยโรคที่มากับภัยหนาวส่วนใหญ่มักเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ปอดบวม วัณโรค ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหวัดใหญ่นั้นยุคนี้มีสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่น่ากลัวมากอย่างที่ทราบๆ กัน
หรืออย่างวัณโรค นี่ก็อย่าคิดว่าเป็นโรคเก่าๆ แล้วจะไม่น่ากลัว ซึ่งประเทศไทยในปัจจุบันวัณโรคยังคงเป็นปัญหาสำคัญ ทั้งจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรคเอดส์ และจากสาเหตุการดื้อยาของวัณโรค
สำหรับปอดบวม ครอบครัวไหนมีบุตรหลานเป็น เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ควรต้องระวังให้มากเพราะเด็กวัยนี้มีอัตราการเป็นโรคปอดบวมสูงมาก เพราะร่างกายยังมีภูมิต้านทานน้อย ซึ่งเมื่อย้อนดูตัวเลขในอดีต ทุกปีของช่วงฤดูหนาวจะมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมเฉลี่ยปีละ 250 ราย
ขณะที่ในกลุ่ม ผู้สูงอายุก็ควรให้ความสำคัญอย่างมากกับภัยนี้ ในช่วงมีภัยหนาวเช่นกัน ซึ่งผู้สูงอายุมักติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย และก็มักเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนชนิดรุนแรงเกี่ยวกับปอด
ทั้งนี้ การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอไม่ตรากตรำจนเกินควรการรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ไม่อาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำเย็นเกินไป การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยและการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด นี่เป็นแนวทางที่ช่วยป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งในช่วงที่ต้องเผชิญ “ภัยน้ำ-ภัยหนาว” อาจทำกันได้ไม่สะดวก แต่ก็ต้องพยายามทำ ซึ่งแม้ภาครัฐจะมีการดูแลผู้เจ็บป่วยที่ต้องเผชิญภัย นั่นก็เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ และบางรายอาจสายเกินแก้
ที่ดีที่สุดคือ “กันไว้ดีกว่าแก้” ซึ่งควรจะต้องให้ความสำคัญ ทั้งโดยประชาชนเอง และโดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ “ทุกข์ที่ซ้ำ-กรรมที่ซัด” ซึ่ง “ดุแน่” จะได้ลดการคร่าชีวิต!!
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
Update : 27-10-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่