ทำความเข้าใจกับ “ผลประโยชน์ทับซ้อน”

นานาทัศนะ กับ สสส.


ทำความเข้าใจกับ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” thaihealth


แฟ้มภาพ


“การกำหนดขอบเขตของการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่การห้ามพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ได้รับทุนเข้ามาเป็นกรรมการ แต่เป็นการห้าม “พฤติกรรม” ของกรรมการในการดำเนินงานใดๆเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและครอบครัวหรือหน่วยงานที่ตนเองสังกัด และประโยชน์ของโครงการที่เป็นประโยชน์สาธารณะไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตนหรือองค์กรถือว่าไม่ใช่ผลประโยชน์ทับซ้อน”


สังคมไทยตอนนี้กำลังตื่นตัวกับคำว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ซึ่งนับเป็นสัญญาณทางสังคมที่ดี ทำให้การบริหารจัดการหน่วยงานต่างๆ ต้องมีความระมัดระวังและมีธรรมาภิบาลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คำว่า ผลประโยชน์ทับซ้อน หรือ ผลประโยชน์ขัดกัน ตามศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถานนั้น ยังมีการให้ขอบเขตที่แตกต่างกัน หรือมีความเข้าใจที่แตกต่างกัน เราจึงน่าจะทำความเข้าใจความหมายของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ให้ตรงกัน เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้กับหน่วยงานต่างๆ ได้ใช้เป็นแนวทาง และให้เกิดความโปร่งใสกับสังคม


โดยความหมายของผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ตามพจนานุกรม คือ สถานการณ์ที่จะเกิดความไม่เป็นกลางในการตัดสินใจเพราะความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคล ผลประโยชน์ของวิชาชีพ หรือผลประโยชน์ของส่วนรวม


นิยามนี้ดูจะมีความชัดเจนดีว่าเป็นความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ของส่วนรวม แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คำว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคลตีความไว้แค่ไหน และที่ว่าขัดกันนั้น อย่างไรจึงเรียกว่าขัดกัน และจำกัดขอบเขตของเวลาด้วยหรือเปล่า หมายถึงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นนับเฉพาะในขณะที่ดำรงตำแหน่งปัจจุบัน หรือรวมความไปถึงอดีตด้วย


แนวปฏิบัติของหน่วยงานระดับโลกที่ทำงานในลักษณะกองทุนเพื่อสาธารณะ คือ กองทุนโลกเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย (The Global Fund to fight AIDS, TB and Malaria) ซึ่งมีการทำงานในลักษณะภาคี เน้นการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคทั้งสาม การที่มีผู้มีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆหลากหลายนี้เอง กองทุนโลกจึงได้กำหนดแนวปฏิบัติเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเกิดธรรมาภิบาลในการบริหารกองทุนซึ่งมีจำนวนสูงถึงกว่าแสนสี่หมื่นล้านบาทต่อปี (สี่พันล้านเหรียญต่อปี) หรือกว่าล้านล้านบาทตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา


โครงสร้างการบริหารของ Global Fund ประกอบด้วย กรรมการบริหารซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มผู้บริจาค (Donor block) และกลุ่มผู้ดำเนินงาน (Implementer block) มีกรรมการที่มาจากทั้งภาครัฐของประเทศต่างๆ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้ที่ได้รับผลกระทบ การที่กรรมการบริหารมาจากภาคส่วนต่างๆเหล่านี้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขัดกันของผลประโยชน์ในฐานะที่ประเทศ หรือองค์กรที่สังกัดอาจจะได้รับประโยชน์จากการตัดสินใจอนุมัติโครงการ หรือกำหนดนโยบายของคณะกรรมการ


กองทุนโลกให้ความหมายและขอบเขตของผลประโยชน์ทับซ้อนไว้ว่า


ผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้นเมื่อกรรมการของกองทุนหรือสมาชิกในครอบครัวหรือหน่วยงานที่สังกัดมีส่วนร่วมเป็นการส่วนตัวและอย่างมีนัยสำคัญในกิจการใดๆ ของกองทุนซึ่งคาดว่าตัวเองหรือองค์กรที่สังกัดจะได้รับผลประโยชน์ทางการเงินโดยตรง


ตัวอย่างผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น


• กรรมการกองทุนสนับสนุนหรือรณรงค์ให้มีการอนุมัติโครงการใดโครงการหนึ่งที่ตนเองหรือรัฐบาลหรือหน่วยงานที่สังกัดทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินงานหลัก (ผู้รับทุนหลัก, หน่วยงานปฏิบัติ, หน่วยงานดูแลด้านการเงิน หรือมีบทบาทโดยตรงต่อโครงการ)


• กรรมการกองทุนรณรงค์ให้มีการอนุมัตินโยบายที่เอื้อประโยชน์ทางด้านการเงินโดยตรงให้กับตนเอง รัฐบาลหรือองค์กรที่สังกัด


• กรรมการกองทุนใช้ตำแหน่งกรรมการรณรงค์ให้มีการอนุมัติสัญญาการจ้างระหว่างกองทุนกับหน่วยงานที่สังกัด


• กรรมการทบทวนโครงการ (Technical Review Panel) ซึ่งเป็นพนักงานของรัฐหรือหน่วยงาน มีส่วนร่วมในการทบทวนโครงการที่หน่วยงานที่สังกัดได้รับประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ


กองทุนโลกได้ระบุไว้ด้วยว่าสิ่งที่ไม่นับว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ได้แก่


• กรรมการไม่ถือว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนในการพิจารณาอนุมัติโครงการถ้าหากว่าประชากรในประเทศที่กรรมการเป็นพลเมืองได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการ ถ้าหากหน่วยงานที่สังกัดไม่ได้เป็นผู้ดำเนินงานโดยตรง


จากแนวทางข้างต้น จะเห็นว่าการกำหนดขอบเขตของการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่การห้ามพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ได้รับทุนเข้ามาเป็นกรรมการ แต่เป็นการห้าม “พฤติกรรม” ของกรรมการในการดำเนินงานใดๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและครอบครัวหรือหน่วยงานที่ตนเองสังกัด และประโยชน์ของโครงการที่เป็นประโยชน์สาธารณะไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตนหรือองค์กรถือว่าไม่ใช่ผลประโยชน์ทับซ้อน


และในแง่ของขอบเขตด้านเวลา เนื่องจากแนวทางดังกล่าวกำหนดในด้านพฤติกรรม ผลประโยชน์ทับซ้อนจึงไม่ได้ครอบคลุมไปถึงสิ่งที่เคยได้รับในอดีต เช่นกรรมการที่เคยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนก่อนเข้ามาเป็นกรรมการ แต่ปัจจุบันไม่ได้รับ และไม่มีพฤติกรรมที่จะเอื้อให้ตนเองหรือหน่วยงานที่สังกัดได้รับประโยชน์ จึงไม่นับเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน


การทำความชัดเจนถึงขอบเขต และแนวปฏิบัติของผลประโยชน์ทับซ้อนอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและลักษณะขององค์กร แต่ละหน่วยงานจึงมักจะกำหนดแนวทางของตนเองไว้เป็นแนวปฏิบัติ สิ่งที่สำคัญกว่ากรอบแนวทาง คือความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อการสร้างความเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับองค์กรต่อไป


 


 


ที่มา : Team Content www.thaihealth.or.th

Shares:
QR Code :
QR Code