ถอดรหัส ฮูปแต้ม พัฒนาชุมชน

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


ภาพประกอบจากเว็บไซต์ rms.msu.ac.th


ถอดรหัส ฮูปแต้ม พัฒนาชุมชน thaihealth


เมื่อมรดกกว่าร้อยปีบนผนังโบสถ์ ถูกนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ชุมชน "ฮูปแต้ม" จึงไม่ใช่แค่งานจิตรกรรม แต่ยังเป็นได้ทั้ง ปฏิทิน เสื้อ กระเป๋า เข็มกลัด จาน ชาม และอื่นๆ อีกมากมาย


พูดถึง "ฮูปแต้ม" ที่เป็นที่รู้จักกันในภาคอีสาน หรือที่รู้จักกันกว้างขวางในชื่อ "จิตรกรรมฝาผนัง" ของภาคกลาง ณ เวลานี้คงพูดได้เต็มปากว่า น้อยคนนักที่จะ ไม่รู้จัก


ทั้งนี้คำว่า "ฮูปแต้ม" ไม่นับรวมภาพวาดที่เพิ่งเกิดไม่นานมานี้ แต่นับเฉพาะสิมหรือโบสถ์ที่มีฮูปแต้มอายุไม่ต่ำกว่า 150 ปีขึ้นไปเท่านั้น


ยิ่งเวลาผ่านไป คุณค่าของฮูปแต้มหรือจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่บนผนังของ "สิม" หรือ โบสถ์ ก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าอย่างมากมายมหาศาล โดยเฉพาะในชุมชนที่มีการต่อยอดฮูปแต้มเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และนำมาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของชุมชนเพื่อจำหน่าย ตั้งแต่การนำไปเพิ่มมูลค่าด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาชุมชน รวมไปถึงการปลุกใจให้คนในท้องถิ่นหันมารักษ์บ้านเกิดของตนเอง


ในภาคอีสานมีสิมที่มีฮูปแต้มกระจายอยู่หลายจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสานตอนกลาง ทั้งร้อยเอ็ด มหาสารคาม ขอนแก่น นอกจากนั้นยังมีกระจายในพื้นที่อีสานเหนือและใต้ อาทิ เลย หนองคาย อุบลราชธานี นครราชสีมา ฯลฯ


จากสิมหรือโบสถ์ที่มีฮูปแต้มอายุมากกว่า 150 ปีขึ้นไปนั้น มีการพูดถึงสิมอยู่ 5 แห่ง ที่ถูกยกให้เป็นสิมที่มีลวดลายการวาดที่งดงาม และเรื่องเล่าที่แฝงคติธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตของคนอีสาน ไม่ว่าจะเป็น สิมวัดโพธาราม และวัดป่าเรไรย์ ต.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม, สิมวัดบ้านยาง อ.บรบือ จ.มหาสารคาม, สิมวัดโพธาราม ต.นาดูน อ.นาดูน จ.มหาสารคาม, สิมวัดสนวนวารี อ.บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น และ สิมวัดไชยศรี อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยทุกสิมเคยถูกการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ใช้ทำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวชมสิมและฮูปแต้มอีสานมาก่อนหน้านี้ และยังกลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่นักศิลปะ วรรณกรรม ชื่นชอบมาเที่ยวชมอย่างสม่ำเสมอ


แต่หากจะมองฮูปแต้มให้เข้าใจ คงต้องเข้าใจตัวบท หรือ เรื่องราวของวรรณกรรมซึ่งเป็นที่มาของภาพที่ถูกนำเสนอก่อน ไม่เช่นนั้นแม้จะมองฮูปแต้มนานแค่ไหนก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ว่า เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร


อ่านวรรณกรรมถึงเข้าใจฮูปแต้ม


ถอดรหัส ฮูปแต้ม พัฒนาชุมชน thaihealth


เกี่ยวกับเรื่องราววรรณกรรมที่ปรากฏบนผนังสิมนั้น ผศ.ชอบ ดีสวนโคก นักวิชาการด้านวัฒนธรรม อดีตผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น บอกเล่าในขณะที่พานำชมสิมอีสานใน 3 จังหวัดอีสานตอนกลางในโครงการฮูปแต้มเพื่อการพัฒนาชุมชน จัดโดย เครือข่ายสื่อศิลปวัฒนธรรมชุมชนอีสาน สนับสนุนโดย แผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า สิมวัดบ้านยาง หรือ วัดยางทวง นั้นมีเรื่อง พระเวสสันดรชาดก พระมาลัย ท้าวปาจิตกับนางอรพิม พุทธประวัติ และแทรกนิทานพื้นบ้านเข้าไปด้วย ขณะที่วัด สิมวัดสนวนวารีด้านนอกเป็นเรื่องสินไซ ด้านในเป็นเรื่อง พระเวสสันดรชาดก ส่วน สิมวัดไชยศรี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ด้านนอกเป็นเรื่องสินไซทั้งหมด


สาเหตุที่ทำไมแต่ละสิม หรือ แต่ละวัดเลือกเรื่องราวที่เอามาวาดบนผนังสิมไม่เหมือนกัน ผศ.ชอบ อธิบายว่า อาจจะเป็นรสนิยมของคนในท้องถิ่น และความประสงค์ของเจ้าอาวาส บวกกับความถนัดของช่างแต้มฮูปหรือคนวาดรูป การจะวาดเรื่องอะไร สอนคนในเรื่องอะไรบ้าง


"คนตัดสินใจหลักๆ คือเจ้าอาวาสวัด แต่หากพื้นที่ไหนเป็นประชาธิปไตยหน่อยก็อาจจะมีการฟังเสียงของชาวบ้านด้วย แต่หลักใหญ่อยู่ที่เจ้าอาวาสเพราะเป็นคนที่กำหนดให้สร้างสิม หรือโบสถ์ รวมถึงเป็นคนกำหนดรูปแบบ อัตลักษณ์ และเรื่องราวทั้งหมด"


ส่วนคนวาดและชาวบ้านที่จะร่วมแสดงความคิดเห็นนั้น แม้จะมีส่วนในการตัดสินใจแต่ก็น้อย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่วุ่นวายกับการทำมาหากิน ไม่ได้สนใจเรื่องราวของสังคมมากนัก เว้นเสียแต่เจ้าอาวาสวัดนั้นๆ ขอคำปรึกษา หรือเรียกประชุมเพื่อหารือ ส่วนช่างวาดภาพก็จะมีส่วนในการกำหนดรูปแบบ เพราะเป็นความถนัดของช่างแต่ละคน


"เรื่องที่นำเสนอส่วนใหญ่ เน้นกรอบความเชื่อของพระพุทธศาสนา ที่ต้องการสอนใจประชาชน โดยภาพที่วาดอยู่ฝาผนังสิมหรือโบสถ์ส่วนใหญ่วาดขึ้นเพื่อให้คนที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปในโบสถ์ได้อ่าน ได้ดู เพราะโบสถ์ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กมาก เอาไว้ใช้ประกอบพิธีกรรมทางสงฆ์ เอาไว้บวชพระ คนที่ขึ้นไปได้ไม่มาก และส่วนใหญ่ห้ามผู้หญิงขึ้น คนที่เหลือทั้งญาติโยม ญาติพี่น้องก็ต้องนั่งรอ เวลาที่นั่งรอนี่แหละหากมีภาพเขียนให้ได้ดู ให้ศึกษา หรือมีคนบอกเล่าเรื่องราวด้วย พวกคนที่รอจะได้ความรู้ เพลิดเพลิน ได้คติธรรมสอนใจ" ผศ.ชอบ กล่าว


ส่วนที่มีการวาดฮูปแต้มตามผนังสิมในอีสานหลายแห่ง และลักษณะรูปแบบคล้ายๆ กัน สันนิษฐานว่า เกิดการลอกเลียนแบบ เพราะสมัยก่อนไม่มีเทคโนโลยีการสื่อสาร หากมีการไปเจอไปเห็นที่ไหน เห็นว่าสวยก็มีการบอกต่อ จ้างช่างต่อ ทั้งช่างทำสิม และช่างวาดภาพ อย่างวัดที่ ตำบลดงบัง ช่างคนเดียวกันวาดภาพทั้งวัดป่าเรไรย์และวัดโพธาราม แม้เรื่องราวจะแตกต่างกันบ้าง แต่ก็เป็นกลุ่มช่างเดียวกัน


รวมไปถึงความเข้มแข็งของ หมู่บ้านในอีสานตอนกลางที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก และเป็นหมู่บ้าน ชุมชนเก่าแก่มาก่อน ทำให้ปรากฏสิมและโบสถ์ลักษณะนี้ค่อนข้างมาก ในขณะที่ในพื้นที่อื่นๆ ไม่ค่อยเจอมากนัก และหากมองลึกไปถึงวิถีคนในชุมชน ชุมชนที่มีสิมโบราณและฮูปแต้มโบราณส่วนใหญ่เป็นชุมชนดั้งเดิม หมู่บ้านเก่าแก่ มีอายุไม่ต่ำกว่า 200-250 ปี ไม่มีต้นไม้ เพราะมีการหักร้างถางพงมาก่อนจะเป็นหมู่บ้าน


ถอดรหัส ฮูปแต้ม พัฒนาชุมชน thaihealth


เพิ่มมูลค่า ต่อยอดทางเศรษฐกิจ


แม้จะมีฮูปแต้มอยู่หลายพื้นที่ในภาคอีสานตอนกลาง แต่มีไม่มากนักที่ถูกนำมาต่อยอดและส่งต่อสู่การศึกษาเรียนรู้ แต่ไม่ใช่กับที่ ต.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม ซึ่ง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้นำเอาโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน และโครงการหนึ่งคณะหนึ่งศิลปวัฒนธรรม พานิสิตที่เรียนหลักสูตรรัฐศาสตร์ลงไปเรียนรู้ ถอดรหัสฮูปแต้มในวัด 2 แห่ง คือ สิมวัดโพธาราม และสิมวัดป่าเรไรย์ เพื่อให้นิสิตนำกลับมาคิด ออกแบบ และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าฮูปแต้มสู่การพัฒนาชุมชนในโครงการ ฮักแพงเบิ่งแงงฮูปแต้มดงบัง


เรื่องนี้ กันตา วิลาชัย รองคณบดีวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยสารคาม บอกว่า การเรียนการสอนของคณะเน้นด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ แต่ก็มาคิดว่าจะทำอย่างไร หากบรรดาลูกศิษย์จบออกไปต้องไปอยู่กับชุมชน ต้องไปพัฒนาชุมชน อยากให้เขาเพิ่มมูลค่ามรดกวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชนนั้นเพื่อเกิดเป็นมูลค่าเพิ่ม เป็นสินค้า และสร้างรายได้ให้ชุมชนได้ จึงเลือกที่จะพานิสิตมาลงชุมชนแห่งนี้และร่วมกันพัฒนา โดยใช้มรดกที่มีอยู่ไปคิด ต่อยอดเพื่อให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน


"สินค้าที่นิสิตได้คิดออกแบบต่อยอดจากฮูปแต้มได้กลายเป็นสินค้าชุมชน ไม่ว่าจะเป็นปลอกหมอน ปฏิทิน เสื้อ กระเป๋า เข็มกลัด แบรนด์สินค้า จาน ถ้วย ชาม และอื่นๆ โดยสิ่งที่นิสิตทำแม้จะเป็นเพียงโมเดล แต่หากชุมชนมีทุนในการเอาไปทำต่อ เพื่อทำเป็นอาชีพก็สามารถทำได้เลย หรือนิสิตสามารถเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในอนาคต" อ.กันตา ให้ข้อมูลถึงโครงการดังกล่าวซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว


นอกจากฮูปแต้มที่ถูกพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อให้นักรัฐศาสตร์เอาไปใช้ประโยชน์ต่อในด้านการพัฒนาแล้ว ในส่วนของการพัฒนาชุมชนนั้น ชุมชนสาวะถี โดย พระครูบุญชยากร เจ้าอาวาสวัดไชยศรี เจ้าคณะตำบลสาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ก็เป็นพระนักพัฒนาอีกรูปหนึ่งที่นำเอาฮูปแต้มข้างสิมอีสานไปเป็นสื่อในการปลุกพลังคนในชุมชนให้หันมาร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาชุมชนจนกลายเป็นชุมชนต้นแบบในการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมหลายรูปแบบ ทั้งการท่องเที่ยวประเพณี วัฒนธรรม รวมถึงต่อยอดสู่ลูกหลานคนรุ่นใหม่ จนกลายเป็นหมู่บ้านพัฒนาตัวอย่างที่หลายคนต้องเข้ามาเยี่ยมชม


สำหรับ พระครูบุญชยากร ซึ่งเป็นคนบ้านสาวะถีแต่ดั้งเดิม เมื่อได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดไชยศรีแห่งนี้ จึงคิดหาวิถีที่จะดึงคนเข้าวัดโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่นับวันยิ่งห่างวัดไปทุกที หลังจากสอบถามได้ความถึงเหตุผลที่ไม่ค่อยเข้าวัดเนื่องจากมองว่า วัดเป็นเรื่องของคนแก่ พระครูจึงพยายามคิดหาวิธีดึงคนรุ่นใหม่เข้ามา กระทั่งเห็นฮูปแต้มที่ผนังโบสถ์ซึ่งอยู่คู่ชุมชนมานาน แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจนัก จึงอยากใช้ฮูปแต้มนี้เป็นตัวเชื่อมดึงคนเข้าวัด


ยิ่งศึกษาเรียนรู้เรื่องราวที่ปรากฏบนผนังสิมซึ่งเป็นเรื่องสินไซ หรือ สังข์ศิลป์ชัย ก็เกิดความสงสัยว่า ทำไมวัดนี้ต้องวาดเรื่องสินไซ พระครูจึงศึกษาเจาะลึกลงไปทำให้เห็นคติธรรม คำสอน ที่แฝงอยู่ในเรื่องเล่าพื้นบ้านเรื่องนี้ พร้อมหยิบยกขึ้นมาเป็นสื่อในการดึงคนเข้าวัด โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้นำเอาเรื่องนี้มาเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ พระครูจึงยิ่งเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญมาก


"เราดึงเด็กในชุมชนออกมาทำกิจกรรม ตั้งกลุ่มเยาวชนศิลป์ไชยศรี ดึงปราชญ์ชาวบ้านออกมาบอกเล่าเรื่องราว มีคนสนใจมาเรียนรู้เยอะขึ้น มีการเชื่อมกันระหว่าง หมู่บ้าน วัด โรงเรียน มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเมืองขอนแก่น จนฮูปแต้มจากสิมวัดไชยศรีกลายเป็นเสาไฟอยู่เต็มมองขอนแก่น เป็นละครเวที เป็นหลักสูตรท้องถิ่น และเป็นพื้นที่เมืองสามดีวิถีสุข และอื่นๆ มากมาย โดยทั้งหมดนี้คือหัวใจหลักในการดึงคนในชุมชนออกมาร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาชุมชนสาวะถีแทบทั้งสิ้น" พระครูบุญชยากร กล่าว


นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็กๆ ที่มีการถอดรหัสฮูปแต้มจากฝาผนังสิมในเมืองอีสาน ต่อยอดสู่การพัฒนาในมิติต่างๆ ยังไม่ได้นับรวมถึงงานสัมมนาวรรณกรรมสองฝั่งโขงที่สานสัมพันธ์ญาติน้ำหมึกของสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง คือสโมสรนักเขียนภาคอีสาน และสมาคมนักประพันธ์ลาว ให้เชื่อมโยงเข้าสู่กัน ด้วยฮูปแต้มที่ปรากฏอยู่ทั้งสองฟาก และเรื่องเล่าเดียวกันของคนสองแผ่นดิน


นี่คือพลังของท้องถิ่น พลังของเรื่องเล่า ที่ยังเข้มขลังรอเวลาที่คนรุ่นใหม่จะมาถอดรหัสเพื่อนำไปสู่การไขปริศนาธรรมที่แฝงเอาไว้จากฮูปแต้มบนผนังสิมเหล่านี้ ต่อยอดสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

Shares:
QR Code :
QR Code