“ต่อมน้ำเหลืองโต” อย่ามองข้าม เช็กสัญญาณเตือน ก่อนลุกลามเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรง
ที่มา : อ.พญ.โยษิตา หมื่นแก้ว ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
“ต่อมน้ำเหลือง” เป็นอวัยวะขนาดเล็กในระบบน้ำเหลือง ลักษณะเป็นก้อนรูปไข่กระจายทั่วร่างกาย ทำหน้าที่กรองและดักจับสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อโรค ก่อนสร้างภูมิคุ้มกันปกป้องร่างกาย หากต่อมน้ำเหลืองเกิดภาวะบวมโต มักเป็นสัญญาณบ่งบอกการติดเชื้อหรือความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน
ต่อมน้ำเหลืองโต หมายถึง ภาวะที่ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ อันเกิดจากร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ การอักเสบ หรือความเครียดทางร่างกาย ซึ่งทำให้ระบบน้ำเหลืองทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
ผู้ที่มีภาวะต่อมน้ำเหลืองโต มักพบอาการต่อไปนี้
- กดแล้วเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลือง
- คลำได้ก้อนบวมโต
- ผิวหนังบริเวณนั้นบวม แดง
- อาจมีไข้หรืออาการคล้ายหวัดร่วมด้วย
ควรพบแพทย์ทันที หากมีลักษณะต่อไปนี้
- ก้อนโตเกิน 1.5-2 เซนติเมตร
- โตเร็วและไม่ยุบภายใน 1 เดือน
- เจ็บคอ กลืนลำบาก หรือหายใจติดขัด
- น้ำหนักลดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีไข้หลายวันหรือเหงื่อออกมากตอนกลางคืน
สาเหตุที่พบบ่อย
- การติดเชื้อไวรัส เช่น หัด, HIV
- การติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณหู โพรงจมูก ฟัน ผิวหนัง หรือทอนซิล
- การติดเชื้อวัณโรค
- ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
- โรคมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งไทรอยด์
หากต่อมน้ำเหลืองโตจากการติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น
- เกิดโพรงหนอง ต้องรักษาด้วยการระบายหนองและใช้ยาปฏิชีวนะ
- กดทับอวัยวะรอบข้าง อาจกระทบต่อเส้นประสาทและการทำงานของอวัยวะสำคัญ
- ติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจรุนแรงจนทำให้อวัยวะล้มเหลวและเสียชีวิต
- ภาวะที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
อย่ามองข้ามภาวะต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะหากมีอาการนาน ไม่ยุบเอง หรือมีสัญญาณผิดปกติอื่นร่วมด้วย เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้ายแรง