ตรุษจีนคึกคัก-ใช้จ่ายสะพัด 3.9 หมื่นล.

ม.หอการค้าไทย สำรวจพบตรุษจีนคึกคัก มีการใช้จ่ายเงินสะพัดถึง 3.9 หมื่นล้านบาท ชาวบ้านหวั่นของแพง-หันกู้หนีนอกระบบ


เทศกาลตรุษจีนคึกคัก ประชาชนออกมาจับจ่าย


นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน ว่าในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี’54 คาดว่าจะมีเงินสะพัดทั่วประเทศ39,141 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.94%หรือขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี และตั้งแต่เริ่มสำรวจเมื่อปี’49 โดยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดว่าจะมีเงินสะพัดมากที่สุด 14,585 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน8.72% ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในปีนี้มาจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงปริมาณการซื้อสินค้าไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน และเชื่อว่าตรุษจีนปีนี้จะคึกคักมากกว่าปีที่ผ่านมา


“เงินที่สะพัดในช่วงตรุษจีนนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ จึงจับจ่ายใช้สอยมากกว่าปีที่ผ่านมารวมทั้งแนวโน้มรายได้ที่เพิ่มขึ้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะสินค้าแพงขึ้น ส่วนปัญหาการเมืองยังไม่ใช่ปัจจัยที่จะฉุดกำลังซื้อมากนัก โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาสินค้า 3 เดือนของกระทรวงพาณิชย์” นายธนวรรธน์ กล่าว


นายธนวรรธน์ กล่าวถึงการสำรวจทรรศนะเกี่ยวกับเศรษฐกิจและมาตรการในปัจจุบันว่า ประชาชนส่วนใหญ่56.9% มองว่าราคาสินค้าในปัจจุบันแพงขึ้น เป็นผลมาจากราคาน้ำมันวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหานี้จะทำให้ประชาชนรับภาระไม่ไหวและหันไปกู้เงินนอกระบบมากขึ้น


นอกจากนี้ มองว่ารัฐบาลควรต่ออายุมาตรการตรึงราคาสินค้าที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนมี.ค.54 ออกไปอีก เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งจะเป็นตัวกดดันอัตราเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้น และเป็นเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5-1% เพื่อสกัดเงินเฟ้อส่วนการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ไม่ควรเกินเดือนมี.ค. และควรขยายเพดานการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไปอยู่ที่ 31-32 บาท/ลิตร เพื่อให้ประชาชนมีเวลาปรับตัวซึ่งการตรึงน้ำมันนานไป หรือใช้งบประมาณส่วนอื่น เช่นลดภาษีสรรพสามิต จะไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว


ส่วนนโยบายประชาวิวัฒน์ 9 ข้อของรัฐบาล ประชาชนส่วนใหญ่ 87.2% เห็นด้วยกับนโยบายใช้ไฟฟ้าฟรีสำหรับผู้ที่ใช้ไฟต่ำกว่า 90 รวมทั้งการดึงแรงงานนอกระบบเข้ามาสู่ระบบสวัสดิการสังคม และการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือนและขนส่ง


สำหรับชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเสื้อสีต่างๆ ยอมรับว่า เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งสะท้อนจากบรรยากาศตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ปรับตัวลดลงกว่า 40 จุด ถึงแม้การเมืองจะยังไม่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่ก็มีผลต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในภาคการท่องเที่ยว หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทางการเมือง และมีความรุนแรงเกิดขึ้น จะมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน


 


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด 

Shares:
QR Code :
QR Code