ดูแลไตอย่างไรให้มีสุขภาพดี…เมื่อต้องใช้ยา

เรื่องโดย  อัจฉริยา คล้ายฉ่ำ Team Content www.thaihealth.or.th

ข้อมูลจาก งานประชุมเสวนาดูแลไตอย่างไรให้มีสุขภาพดีเมื่อต้องใช้ยา และหนังสือยาวิพากษ์จดหมายข่าวศูนย์ข้อมูลเฝ้าระวังระบบยา สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภาพโดย ปารมี ขันธ์แก้ว Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ

                   ไตเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญในทำหน้าที่รักษาสมดุลของสารต่าง ๆ ด้วยการทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายด้วยการผลิตปัสสาวะ ให้มีปริมาณส่วนประกอบและปริมาตรที่เหมาะสม และ ยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เราจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพไตไม่ให้เสื่อมก่อนเวลาอันควร

                   ข้อมูลการศึกษาจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ระบุว่า คนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง ถึง 8 ล้านคน โดยคิดเป็นร้อยละ 17.6 ของประชากรประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายนับแสนราย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงร้อยละ 15-20 ต่อปี หากไม่ได้ทำการรักษาที่ถูกต้อง จะเกิดโรคแรกซ้อนถึงเสียชีวิตได้

                   โดยในปัจจุบันพบว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดไตวายเรื้อรังบ่อยที่สุดคือ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

                   สอดรับกับคำกล่าวของ นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. เล่าว่า… โรคไตมีหลายสาเหตุแตกต่างกันในแต่ละประเทศ เมื่ออายุเพิ่มขึ้นการทำงานของไตจะลดลง จึงเป็นเหตุให้โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และแม้แต่การสูบบุหรี่ ล้วนมีความสัมพันธ์กับโรคไตเรื้อรังเข้ามาสู่ชีวิต

                   นอกจากนี้ยังพบสาเหตุของโรคไตที่สำคัญในประเทศไทย คือ การรับประทานยา เช่น ยาแก้ปวดปริมาณมากหรือยาสมุนไพรบางชนิด ซึ่งการกินยาที่ไม่ถูกต้องติดต่อกันเป็นเวลานาน ค่อนข้างมีผลอาจทำให้สูญเสียการทำงานของไตลดลงเรื่อย ๆ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิด “ภาวะไตวายเฉียบพลัน”

                   ส่วนอาการของโรคไตนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลา ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแต่อาจตรวจพบได้จากการวัดความดันโลหิตหรือการตรวจเลือดและปัสสาวะคัดกรอง หากร่างกายมีการสะสมจะทำให้เกิดอาการความดันโลหิตสูง สามารถสังเกตตัวเองในเบื้องต้นได้จากมีอาการบวม อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย โลหิตจาง ปริมาณปัสสาวะลดลง

                   ดูแลไตอย่างไรให้มีสุขภาพดี…เมื่อต้องใช้ยา ดูแล ไต อย่างไรให้ห่างจาก “โรคไต”

                   ด้วยความห่วงใยในเรื่องการดูแลสุขภาพไต ให้ไตมีสุขภาพดี เมื่อจำเป็นต้องใช้ยา สสส. จึงต้องเดินหน้ามุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยา สนับสนุนพัฒนาระบบยาอย่าง…. เพื่อเป็นแนวทางดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป โดยขยายองค์ความรู้สู่ระดับชุมชน” นายชาติวุฒิ กล่าว

                   สอดรับกับ คำขวัญวันไตโลก 2566 “ตระหนักภัย ใส่ใจไต ป้องกันไว้ เน้นกลุ่มเสี่ยง” ที่มุ่งเน้นเรื่องการใช้ยาให้สมเหตุผล ของยากลุ่มเสี่ยง ยาเอ็นเสด ยาสเตียรอยด์ งดใช้ยาชุด เพื่อลดปัญหาความเสี่ยงต่อไต

                   อย่างไรก็ตาม วันนี้เราจะพามารู้จัก ค่าการทำงานของไต เพื่อให้รู้ว่าตนเองเสี่ยงเป็นโรคไตแล้วรึยัง หรือหากเป็นโรคไตแล้วอยู่ในระยะที่เท่าไร… เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดูแลรักษาสุขภาพในอนาคต ดังนี้

  • ค่าการทำงานของไตมากกว่า 90 หมายถึง ไตทำงานปกติ
  • ค่าการทำงานของไต 60-89 หมายถึง ไตทำงานลดลงเล็กน้อย
  • ค่าการทำงานของไต 30-59 หมายถึง เป็นผู้ป่วยไตเรื้อรัง ไตทำงานลดลงปานกลางถึงมาก
  • ค่าการทำงานของไตต่ำกว่า 15 หมายถึง การเป็นโรคไตระยะสุดท้าย หรือภาวะไตวายซึ่งอาจต้องทำการฟอกไต

                   นอกจากนี้ ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังได้แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงยาบางชนิด ที่เป็นอันตรายต่อไต ได้แก่

  1. กลุ่มยาเอ็นเสด : ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน ปวดประจำเดือน ปวดกล้ามเนื้อ หรือใช้เป็นยาลดไข้ เช่น บรูเฟน, โวลทาเรน, เฟลดีน, พอนสแตน และอื่น ๆ
  2. กลุ่มยาสเตียรอยด์ : ที่เป็นฮอร์โมนสร้างจากต่อมหมวกไต ต้านการอักเสบในโรคปวดข้อรูมาตอยด์, โรคหอบหืด, ภูมิแพ้ หรือใช้ลดภูมิคุ้มกันในโรคแพ้ภูมิตนเอง
  3. ยาชุด : ที่ประกอบไปด้วยยาหลายชนิด หลากสี นิยมบรรจุในซองพลาสติกใส โดยให้กินทีเดียวทั้งชุด ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงต่อไต เนื่องจากใน 1 ชุด มักจะมียาชนิดเดียวกันหลายเม็ด
  4. สมุนไพร : ยาสมุนไพรบางตัวส่งผลอันตรายต่อไต ตับ และสุขภาพในด้านอื่น ๆ เช่น ไคร้เครือ, สมุนไพรจีน, ยาผีบอก, ยาลูกกลอน ฯลฯ
  5. ยาที่ไม่ระบุชื่อยา : เนื่องจากยาทุกชนิดต้องมีที่มาบ่งชัด ระบุชื่อยาชัดเจน ป้องกันการแพ้ยาที่ส่งผลถึงชีวิตได้

                   การใช้ยาที่ขาดความเข้าใจอย่างถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและเป็นปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. และภาคีเครือข่ายยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีองค์ความรู้ สร้างความเข้าใจในการใช้ยาที่ปลอดภัย เพื่อเป็นแนวทางป้องกันและลดความเสี่ยงเกิดโรคจากการใช้ยา

 

Shares:
QR Code :
QR Code