ชี้อุบัติเหตุลดแต่ดัชนีรุนแรงน่าห่วง
ศวปถ.ระบุ สถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วง 7 วันอันตรายแม้จะลดลง แต่ดัชนีความรุนแรงยังน่าห่วงเมื่อเทียบสัดส่วนระหว่างจำนวนผู้เสียชีวิตกับจำนวนครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ แนะตำรวจบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นทุกพื้นที่ ตรวจเมาแล้วขับให้ถี่ขึ้น รวมทั้งพิจารณาลดความเร็วขับในเมือง
ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้สรุปสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนรวม 7 วัน ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.54-4 ม.ค.55 ว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 3,093 ครั้ง ลดลงจากปี 2554 (3,497 ครั้ง) 404 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 11.55 ผู้เสียชีวิตรวม 335 คน ลดลงจากปี 2554 (358 คน) 23 คน หรือร้อยละ 6.42 ผู้บาดเจ็บรวม 3,375 คน ลดลงจากปี 2554 (3,750 คน) 375 คน หรือร้อยละ 10 ทั้งนี้ ยังได้ระบุด้วยว่าจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสูด ได้แก่ เชียงราย 115 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ นครสวรรค์ และบุรีรัมย์ 18 คน จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ เชียงราย 121 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในช่วง 7 วัน รวม 10 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย ตาก หนองคาย อุดรธานี ศรีสะเกษ นนทบุรี ตราด สตูล ยะลา และปัตตานี
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับ สนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชี้ว่า แนวโน้มของสถิติดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายออกมาแสดงความดีใจถึงจำนวนของตัวเลขคนเจ็บ คนตาย และอุบัติเหตุลดน้อยลง หากแต่ในความเป็นจริงเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนตามจำนวนสถิติของการเกิดอุบัติเหตุแล้ว สถานการณ์ความปลอดภัยบนท้องถนนของประเทศไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ยังมีความน่าเป็นห่วงอยู่มาก
นพ.ธนะพงศ์กล่าวว่า จำนวนผู้เสียชีวิตยังลดลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนครั้งของอุบัติเหตุที่ลดลง ส่งผลให้แนวโน้มของดัชนีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งดัชนีความรุนแรงหรือโอกาสที่จะเสียชีวิตนั้นคิดจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 100 ครั้ง ในปี พ.ศ.2552 เท่ากับ 9.60 คน ปี พ.ศ.2553 เท่ากับ 9.82 คน ปี พ.ศ.2554 เท่ากับ 10.24 คน และในปี พ.ศ.2555 มากถึง 10.83 คน ซึ่งถือว่ามากกว่าทุกปี
“สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีความรุนแรงหรือโอกาสที่จะทำให้ประชาชนเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นนั้นก็คือ การขับรถเร็ว ถนน-สิ่งแวดล้อมที่มีวัตถุอันตรายอยู่ข้างทาง, การไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน ไม่สวมหมวก ไม่ใช้เข็มขัดนิรภัย การนั่งท้ายกระบะ (กรณีเกิดอุบัติเหตุ) ง่วง/หลับใน และเมาแล้วขับ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการไม่ใช้อุปกรณ์ความปลอดภัย หมวกและเข็มขัดนิรภัยเพิ่มขึ้นด้วย” นพ.ธนะพงศ์กล่าว
ผู้จัดการ ศวปถ.กล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าในภาพรวมมีการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ เช่น จังหวัดที่มีการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มขึ้น (ตรวจจับกุม-ดำเนินคดี) จะมีผลต่อจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตลดลง เช่น จ.อุดรธานี สุรินทร์ นครราชสีมา ซึ่งมาตรการในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นจะต้องทำให้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม เพราะหากเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่ใจและเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายเหมือน จ.อุดรธานี สุรินทร์ นครราชสีมา ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยอดการเจ็บ การตาย การเกิดอุบัติเหตุลดลงได้อย่างแท้จริง
นพ.ธนะพงศ์ยังได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มเติมในอีกหลายประเด็นว่า ควรมีการผลักดันให้กระทรวงคมนาคมและท้องถิ่นกำหนดมาตรการเพื่อลดอันตรายข้างทาง และลดความเสี่ยงที่ผู้ขับขี่จะมาชน เช่น หลับใน โดยการออกสำรวจเพื่อพิจารณาเคลื่อนย้ายหรือถอดถอน หรือติดเครื่องหมายป้องกัน หรือทำสัญลักษณ์เตือนในส่วนของวัตถุที่เป็นอันตราย และควรออกแบบถนนให้มีการกำหนดระยะปลอดภัยไว้ในแบบมาตรฐานด้วย
ส่วนประเด็นเมาแล้วขับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการติดตาม กำกับและวัดผลอย่างจริงจัง ตามประเภทของพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายหลัก เช่น พื้นที่ตำรวจภูธรภาค พื้นที่จังหวัด อำเภอ หรือกลุ่มเยาวชน โดยต้องกำหนดเป้าหมายลดการ “ตายจากเมาแล้วขับ” ให้ได้ปีละ 5% กำหนดเป้าหมายการตรวจจับ-ดำเนินคดี เทียบกับปริมาณรถจดทะเบียน (หรือต่อจำนวนผู้ขับขี่) ในแต่ละพื้นที่ เช่น ร้อยละ 10 ของผู้ขับขี่บนท้องถนน ถูกเรียกตรวจอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี และควรมีการตั้งจุดตรวจในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น รอบสถานบันเทิง-งานรื่นเริง ที่มีโอกาสพบผู้บาดเจ็บที่ดื่มสุราเป็น 124 เท่าของผู้บาดเจ็บที่ไม่ดื่มสุรา และควรมีการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ (เครื่องตรวจเมา) ให้แก่ตำรวจอย่างเพียงพอ รวมไปถึงการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการตั้งจุดตรวจ และกำหนดแนวทางด้านแรงจูงใจที่เหมาะสม พร้อมทั้งผลักดันให้มี “มาตรการองค์กร-หน่วยงานรัฐ-ท้องถิ่น-และภาคเอกชน” ที่จริงจังต่อผู้ที่กระทำความผิดเมาแล้วขับอย่างชัดเจนด้วย
ในส่วนของการขับรถเร็วก็ควรมีการวางมาตรการเพื่อลดความเร็ว และมีระบบกำกับติดตาม โดยเฉพาะความเร็วในเขตเมือง ซึ่งกฎหมายประเทศไทยระบุไว้ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้เหลือไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเขตเมือง และอาจจะกำหนดให้ต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในจุดที่มีผู้คนเดินสัญจร เช่น หน้าโรงเรียน หน้าตลาดนัด ฯลฯ โดยเฉพาะความเร็วของรถจักรยานยนต์ที่ควรน้อยกว่ารถยนต์ ส่วนประเด็นที่ต้องดำเนินการต่อไปคือการรณรงค์ให้ประชาชนซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกกันน็อก
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์