“ชีวิตฟ้าหลังฝน” ด้วยศาสนาบำบัด

เยียวยาจิตใจผู้ติดเชื้อ hiv ที่ละงู

 

          กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ชาวอำเภอละงู จ.สตูล ที่นับถือศาสนาอิสลาม ยึดอาชีพทำการประมงมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ชายหนุ่ม ผู้ถือเป็นเสาหลักของครอบครัวคือผู้ทำหน้าที่ออกเรือหาปลาเพื่อหารายได้มาหล่อเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว

“ชีวิตฟ้าหลังฝน” ด้วยศาสนาบำบัด 

          การใช้ชีวิตอยู่บนเรือกลางท้องทะเลของหนุ่มๆ จาก อ.ละงู บางครั้งก็นำเอาโรคร้ายติดตัวกลับมาฝากคนในครอบครัวโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการติดเชื้อ hiv หรือเชื้อเอดส์ อันเนื่องมาจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันระหว่างออกทะเล

 

          หลายปีที่ผ่านมาพบว่า ในพื้นที่ อ.ละงู มีสตรีจำนวนหนึ่งได้รับเชื้อ hiv โดยไม่รู้ตัว ซึ่งทั้งหมดล้วนติดเชื้อผ่านการร่วมหลับนอนกับผู้เป็นสามี ซ้ำร้ายไปกว่านั้นลูกๆ ในบางครอบครัวยังได้รับเชื้อร้าย ติดตัวตั้งแต่เริ่มลืมตาดูโลกอีกด้วย

 

          ปัญหาผู้ติดเชื้อเอดส์ในช่วงเวลานั้นได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่บั่นทอนสายสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นในชุมชนให้ผุกร่อนและเกิดช่องว่างทางความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการตีตราผู้ติดเชื้อเอดส์ในชุมชนมุสลิม อ.ละงู จ.สตูล ว่าเป็น คนบาป

 

          อีกทั้งยังถูกมองด้วยความรู้สึกน่ารังเกียจ จากสายตาผู้คนรอบข้าง จนนำไปสู่การกีดกันออกจากการมีส่วนร่วมในชุมชน รวมถึงพิธีทางศาสนา แม้เสียชีวิตไปแล้วก็จะไม่มีการละหมาดสำหรับผู้ตาย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จึงไม่ใส่ใจในสุขภาพทั้งร่างกาย และจิตใจ รวมทั้งยังไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิตได้

 

          วราภรณ์ ละเหมาะ เจ้าหน้าที่โครงการดูแลสุขภาวะของผู้ติดเชื้อ hiv ชุมชนชาวมุสลิม อ.ละงู ซึ่งคลุกคลีกับงานเยียวยาปัญหาด้านสุขภาพของคนในชุมชนภายใต้เครือข่ายศาสนา ซึ่งได้รับการหนุนจากกลุ่มยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย จึงพยายามหาทางต่อยอดการทำงานด้วยการทลายกำแพงความรู้สึกในสังคมที่ขวางกั้นระหว่างผู้ติดเชื้อกับชาวบ้านปกติทั่วไปให้สามารถกลับมาอยู่ร่วมกันได้เหมือนเดิมอีกครั้ง

 

          โดยได้รับการสนับสนุนทุนในการวิจัยจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ในการทำโครงการ ดูแลสุขภาวะผู้ติดเชื้อ hiv ชุมชนมุสลิม อ.ละงู จ.สตูลส่งผลให้การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตและ ดำเนินการดูแลสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอดส์ ในชุมชนมุสลิมแห่งนี้เพื่อให้สามารถกลับมาดูแลตัวเองและทำให้ชุมชนให้การยอมรับพร้อมกับการเลิกตราหน้าว่าเป็นคนบาป ส่อเค้าสำเร็จได้ในทันที

 

          วราภรณ์ เล่าว่า ชาวบ้านปกติก็ตำหนิเราว่าไปยุ่งกับคนติดเอดส์ทำไม ส่วนผู้ติดเชื้อก็แสดงปฏิกิริยาต่อต้านเราอย่างหนักถึงขั้นไล่ไม่ยอมให้เราเข้าบ้าน ไม่ยอมพบหน้า แถมใช้ถ้อยคำที่ทำลายน้ำใจอย่างมาก ทำเอาเราออกอาการท้อไปเลยในช่วงแรกๆ

 

          ช่วงแรกผู้นำศาสนาเข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายกับเราเพียง 3 ชีวิตเท่านั้น แต่ปัจจุบันเรามีผู้นำศาสนามากกว่า 15 รายที่พร้อมให้คำแนะนำและคำปรึกษาเพื่อดึงผู้ติดเชื้อเอดส์ออกจากมุมมืดมาอยู่ร่วมกับคนในสังคมปกติได้อีกหน โดยเราใช้หลักศาสนาอิสลามเป็นตัวเชื่อมความเข้าใจผ่านผู้นำศาสนาที่ให้ความรู้หลักคำสอนในการละหมาดร่วมกันทุกวันศุกร์ ส่งผลให้ชุมชนมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ติดเชื้อมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์อย่างถี่ถ้วนอีกด้วย

 

          วิธีการนี้เรามองว่าเป็นการใช้ศาสนบำบัดเพราะโรคเอดส์รักษาด้วยการให้ยาอย่างเดียวไม่เพียงพอแต่การได้กำลังใจ ได้รับคำสอนตามหลักศาสนาอิสลามที่ถูกต้องทำให้คนเหล่านี้มีลมหายใจเพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุขยาวนานยิ่งขึ้น วันนี้มีผู้ติดเชื้อที่ยอมเปิดใจ และกล้าเผยตัวต่อสาธารณชนแล้ว 180ชีวิต ทั้งนี้กุญแจดอกสำคัญที่ทำให้ผู้คนเหล่านี้ได้พบกับการมีชีวิตเฉกเช่นคนปกติอีกครั้งคือการกล่าวคำขออภัยโทษต่อองค์อัลเลาะห์ เพื่อขอกลับตัวกลับใจมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอีกครั้ง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าการ ตอบัตนั่นเองวราภรณ์ กล่าว

 

          ชบา กาจิ หรือ ก๊ะชบาสตรีมุสลิมวัย 40 ปี บ้านตะโล๊ะใส ต.ปากน้ำ อ.ละงู ผู้ได้รับเชื้อ hiv จากผู้เป็นสามี ย้อนเรื่องราวให้ฟังว่า มารู้ตัวเมื่อคลอดบุตรสาว ซึ่งแพทย์ได้แจ้งข่าวร้ายให้ทราบว่าติดเชื้อ hiv โดยมีต้นตอมาจากสามีที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นขณะลงเรือออกทะเลหาปลา

 

          ชีวิตช่วงแรกของสตรุสลิมรายนี้เอาแต่เก็บตัว กลัวสังคมรังเกียจ ไม่กล้าเข้าสังคมเพราะกังวลไปทุกอย่าง กระทั่งได้พบกับ วราภรณ์ ละเหมาะเจ้าหน้าที่โครงการดูแลสุขภาวะของผู้ติดเชื้อhiv และผู้นำศาสนาในท้องถิ่น จึงได้รับรู้ว่า สตรีที่ติดเชื้อร้ายมาจากสามี หรือเราไม่ลงมือกระทำโดยตรง หากขออภัยโทษต่อองค์อัลเลาะห์ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ พระผู้เป็นเจ้าก็จะรับในสิ่งที่เราขอนับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

          เหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะการไม่หนีปัญหา และก้าวเดินอย่างปกติในสังคม ขณะเดียวกันชุมชนก็มีความเข้าใจผู้ติดเชื้อมากขึ้นทำให้ชีวิตเรามีความสุขอยู่บน ณ จุดที่ยืนอยู่ได้ แม้ไม่รู้ว่าจะหมดลมหายใจลงเมื่อไหร่ แต่อย่างน้อยเราก็มีความสุขได้เหมือนคนอื่นไม่ต้องอมทุกข์เหมือนที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้พี่จึงอยากช่วยคนที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพี่ให้หลุดพ้นความรู้สึกอันเลวร้ายตรงนั้นด้วยการอาสาเป็นบุคคลต้นแบบผู้ติดเชื้อเพื่อฉุดผู้ป่วยให้ขึ้น จากหลุมดำและเห็นท้องฟ้าที่สดใสอีกซักครั้งก่อนจะหลับตาลาลับโลกนี้ไปก๊ะชบา กล่าวทิ้งท้าย

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า

 

 

update:15-09-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code