ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคใต้

รับลมร้อนด้วยสีสันของอันดามัน

           

            ได้เวลารับอากาศร้อนด้วยการไปเที่ยวทะเลกันแล้ว…หลังจากที่แอ่วภาคเหนือ เที่ยวภาคกลางไปแล้ว ก็ได้เวลาไปชาร์จพลังกายใจกันต่อที่ 4 จังหวัดภาคใต้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ก็ไปเที่ยวกันเลย…

 

            “ประตูภาคใต้ ไหว้เสด็จในกรม ชมไร่กาแฟ แลหาดทรายรี ดีกล้วยเล็บมือ ขึ้นชื่อรังนก”ขึ้นด้วยคำขวัญประจำจังหวัดอย่างนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นจังหวัดชุมพรอย่างแน่นอน ทริปล่องใต้ในครั้งนี้เริ่มสตาร์ทกันที่ประตูสู่ภาคใต้อย่างจังหวัดชุมพรด้วยเวลา 08.00 น. เพื่อเอาฤกษ์เอาชัยกับการท่องเที่ยวรับลมร้อนกันที่หาดทรายรี เพื่อไปไหว้อนุสรณ์สถานของพลเรือเอกพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ผู้ทรงสถาปนากองทัพเรือให้กับประเทศไทย และหมอพรของชาวบ้าน จนเป็นที่เคารพสักการะของชาวชุมพรและจังหวัดใกล้เคียง ที่ศาลกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งตัวศาลจะตั้งเด่นอยู่บนเรือรบหลวงพระร่วงจำลองที่หันหน้าออกสู่ทะเล จึงเป็นจุดที่มองเห็นทิวทัศน์ของหาดทรายรีได้ชัดเจนตลอดเวิ้งอ่าว นักท่องเที่ยวนิยมมาจุดประทัด เดินเที่ยวชม และถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก

 

            จากนั้นเวลา 11.00 น. ไปรำลึกถึงเกียรติประวัติแด่ความกล้าหาญของวีรชนชาวชุมพร ได้ที่อนุสาวรีย์ยุวชนทหารครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เกิดขึ้นจากการที่ยุวชนทหารร่วมมือกับทหารและตำรวจเพื่อต่อต้านการรุกรานจากกองทัพญี่ปุ่นในสงครามมหาเอเชียบูรพาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งวีรกรรมของยุวชนทหารที่โดดเด่นที่สุดในการรบครั้งนั้น คือ วีรกรรมที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร จึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ยุวชนทหาร ณ เชิงสะพานท่านางสังข์ขึ้นมา เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ความกล้าหาญในครั้งนั้นด้วย

 

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคใต้

 

            ต่อจากนั้น เวลา 15.00 น. ไปตามรอยตำนานวัดพระธาตุสวี ที่เล่าขานต่อกันว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เสด็จยกทัพมาพักรี้พลอยู่ในเขตอำเภอสวี ได้พบเหตุการณ์ประหลาด คือ มีกาเผือกและกาอื่นๆ จับกลุ่มส่งเสียงร้องเหนือกองอิฐปรักหักพัง จึงรับสั่งให้รื้อเศษอิฐที่หักพังทับถมกันออก พบฐานพระเจดีย์ใหญ่ เมื่อขุดลึกลงไปพบผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นใหม่แทนเจดีย์องค์เดิม จึงเป็นที่มาของพระธาตุสวีนั่นเอง

 

            อิ่มอกอิ่มใจกับการท่องเที่ยวจังหวัดชุมพรแล้ว ก็ขยับลงมาที่จังหวัดระนอง เริ่มทริปนี้ด้วยเวลา 08.00 น. ที่คอคอดกระ ส่วนที่แคบที่สุดของแหลมมลายู ซึ่งในบริเวณนี้มีแผ่นป้ายคอนกรีตขนาดใหญ่จำลองแผนที่แสดงจุดที่ตั้งของคอคอดกระ ที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมากแห่งหนึ่งของจังหวัดระนอง และใกล้ๆ แผ่นป้ายคอนกรีตดังกล่าว ยังสามารถชมทิวทัศน์ของแม่น้ำกระบุรี ซึ่งแบ่งพรมแดน ไทย-พม่า ได้อย่างชัดเจน

 

            ต่อมาเวลา 10.00 น. ไปชมความงามของอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ที่นับได้ว่าเป็นน้ำตกคู่เมืองระนอง เพราะทุกคนที่เดินทางผ่านตัวเมืองระนองจะต้องเห็นสายน้ำสีขาวของน้ำตกหงาวที่ไหลตกลงมาจากหน้าผาสูง นอกจากนี้ภายในอุทยานยังเต็มไปด้วยพืชพรรณและสัตว์ป่าที่มีค่าอยู่อย่างหนาแน่น อาทิ เอื้องเงินหลวงที่มีลักษณะคล้ายดอกแคทลียา มีกลีบสีขาว บริเวณกลีบใหญ่จะแต้มด้วยสีเหลืองอ่อนอยู่ตรงกลาง ดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชื่นใจ ไม่เพียงเท่านี้ยังมี ปูเจ้าฟ้าเป็นปูน้ำตกชนิดใหม่ของโลกพบครั้งแรกที่น้ำตกหงาว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนปูน้ำจืดทั่วๆ ไป คือ บริเวณส่วนของกระดองและก้ามเป็นสีขาว บริเวณปากและเบ้าตา และขาทั้งสี่คู่ เป็นสีม่วงดำมาอวดโฉมให้ได้ชมกันอีกด้วย

 

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคใต้

 

            เริ่มเหงื่อไหลไคลย้อยกันแล้ว ก็ต้องหาอะไรเย็นๆ มาดับ แต่มาระนองทั้งทีจะมัวมาอาบน้ำเย็นได้อย่างไร เพราะที่นี่เขามีของดีอย่างบ่อน้ำร้อนให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มได้อาบกันอย่างจุใจ เวลา 14.00 น. ออกเดินทางไปที่บ่อน้ำร้อนกันได้เลย ซึ่งที่นี่มีบ่อน้ำร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ 3 บ่อ คือ บ่อพ่อ บ่อแม่และบ่อลูก ทั้ง 3 บ่อมีอุณหภูมิสูงประมาณ 65 องศาเซลเซียส สามารถใช้ดื่มและอาบได้ มีประโยชน์ต่อร่างกายในแง่การบำบัดรักษาสุขภาพ นอกจากนี้ยังถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ ที่สามารถนำไปผ่านพิธีพุทธาภิเษก ทำน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้เป็นน้ำพระพุทธมนต์ได้ นอกจากนั้นบริเวณใกล้ๆ บ่อน้ำร้อนได้จัดเป็นสวนสาธารณะรักษะวาริน มีศาลาที่พักและห้องอาบน้ำร้อนไว้บริการด้วย       

 

            ที่พลาดไม่ได้เลย สำหรับการมาเยือนถิ่นเมืองฝนแปดแดดสี่ อย่างเมืองระนอง นั่นก็คือ ภูเขาหญ้าสองสี เวลา 17.00 น. ไปตั้งตารอคอยเวลาที่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ส่งผลให้ภูเขาทั้งลูกที่เต็มไปด้วยหญ้า กลับกลายเป็นสีทอง เหลืองงามอร่ามตา เรียกได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์ยามเย็นที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยังต้องยกให้เป็นหนึ่งในอันซีนอินไทยแลนด์อีกแห่งหนึ่งของทิศทักษิณเลยทีเดียว!

 

            สำหรับใครที่ยังรู้สึกว่าเที่ยวไม่อิ่ม ก็ไปต่อกันเลย ที่จังหวัดพังงา เริ่มความมันกันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น เวลา 06.00 น. ที่เกาะพระทอง เกาะสวรรค์แห่งทุ่งหญ้าซาฟารี ที่มีภูมิประเทศเป็นแบบแบนราบ ด้านตะวันออกเป็นป่าโกงกาง ด้านตะวันตกเป็นหาดทรายสีทอง ส่วนบริเวณกลางเกาะเป็นทุ่งหญ้า และป่าเสม็ดคล้ายอัฟริกา แหม…มองไปทางไหนก็เห็นแต่ธรรมชาติที่งดงามจับตา มิหนำซ้ำที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกตระกรุมฝูงสุดท้ายในประเทศไทย มีเต่าขึ้นมาวางไข่บนหาดทรายทุกปี ในป่าก็มีฝูงกวางม้าอาศัยอยู่ และยังเป็นแหล่งกล้วยไม้เอื้องปากแก้วที่ใกล้สูญพันธุ์ เรียกได้ว่ามาถึงที่นี่ ไม่มีเสียเที่ยวเลยค่ะ!

 

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคใต้

           

            จากนั้น เวลา 09.00 น. ไปไหว้พระขอพรที่วัดสุวรรณคูหา หรือ วัดถ้ำ ซึ่งเป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุดของจังหวัดพังงา เนื่องจากเป็นโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และทางโบราณคดี โดยในบริเวณที่ตั้งของวัดมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ซึ่งเขาลูกนี้มีถ้ำใหญ่น้อยหลายแห่ง ถ้ำที่สำคัญ อาทิ ถ้ำใหญ่ ถ้ำแจ้ง ถ้ำมือและถ้ำแก้ว ถ้ำใหญ่อยู่ตอนล่างสุด เวลาเข้าถ้ำจะต้องผ่านถ้ำนี้ก่อน พื้นถ้ำเรียบ เพดานโค้งครึ่งวงกลมเหมือนประทุนเรือ ตลอดความยาวของถ้ำประดับตกแต่งด้วยกระเบื้อง ถ้วย จานเชิงลายครามและเบญจรงค์ ชนิดขนาดต่างๆ ถ้ำใหญ่ใช้เป็นวิหารมีพระพุทธรูปปูนปั้นต่างๆ ประดิษฐานอยู่จำนวนหลายองค์ ที่สำคัญคือพระพุทธไสยาสน์ ขนาดยาว 7 วา 2 ศอก และมีความสวยงามมาก นอกจากนั้นยังมีพระปรมาภิไธยย่อของพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์หลายพระองค์ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันอย่างเต็มอิ่ม

 

            หากใครหลงเสน่ห์ของโลกใต้น้ำ เวลา 11.00 น. ก็อย่าลืมแวะไปที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อุทยานแห่งชาติทางทะเลที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นแหล่งดำน้ำที่ติดอันดับ 1 ใน10 ของโลก ประกอบด้วยเกาะต่างๆ จำนวน 9 เกาะ ใต้ท้องทะเลรอบหมู่เกาะเหล่านี้อุดมไปด้วยกองหิน และแนวปะการังหลากชนิดทั้งปะการังน้ำตื้น และปะการังน้ำลึก หรือจะเลือกไปที่ หมู่เกาะสุรินทร์ก็ไม่ผิดหวังเช่นกัน ซึ่งที่หมู่เกาะแห่งนี้ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ อาทิ เกาะสุรินทร์เหนือ เกาะสุรินทร์ใต้ เกาะตอรินลา เกาะปาจุมบา และเกาะสต็อก ซึ่งรอบๆ เกาะเหล่านี้จะมีแนวปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์และงดงามมาก เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาดำน้ำ เพื่อชมกัลปังหาน้ำตื้น สัตว์ใต้น้ำทะเลสีสดสวย โบกเป็นใบพัดเหมือนใบไม้สีแดง-สีส้มสดใส ส่วนบนเกาะก็ไม่น้อยหน้า เพราะเต็มไปด้วยพรรณไม้ป่าดิบปกคลุมเขียวครึ้ม และแนวหาดทรายขาวบริสุทธิ์ เงียบสงบ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพักผ่อน เล่นน้ำ อาบแดด รวมทั้งเที่ยวชมวิถีชีวิตชาวเล เผ่ามอแกน ผู้มีวิถีชีวิตอยู่กับท้องทะเลอย่างเรียบง่ายอีกด้วย

 

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคใต้

 

            ปิดท้ายการท่องเที่ยวทริปนี้ที่เมืองทับเที่ยง หรือ จังหวัดตรัง นั่นเอง เริ่มออกสตาร์ทกันที่เวลา 10.00 น. เพื่อเดินทางไปยังถ้ำมรกต ซึ่งถือว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งมหัศจรรย์กลางทะเล ซึ่งสามารถเข้า-ออกได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น โดยปากถ้ำจะเป็นโพรงเล็กๆ สูงพ้นน้ำพอเรือลอดได้ การเข้าออกจะต้องลอยคอในน้ำ ลอดถ้ำอันมืดมิด ผ่านเส้นทางคดโค้ง ระยะทางประมาณ 80 เมตร ซึ่งความสนุกสนานของที่นี่อยู่ที่ผู้ร่วมทริปทุกคนจะต้องกระโดดลงน้ำ และเข้าแถวเรียงหนึ่ง พร้อมทั้งเกาะไหล่ต่อๆ กันไปคล้ายรถไฟเพื่อเข้าไปชมความงามด้านในของถ้ำ เมื่อพ้นปากถ้ำก็จะทะลุมาเจอกับหาดทรายสีขาวสะอาดตาที่ล้อมรอบด้วยหน้าผาอันสูงชัน และเมื่อแสงอาทิตย์ทำมุมพอเหมาะ ทั้งเกาะและเวิ้งถ้ำก็จะกลายเป็นสีเขียวมรกต งดงามน่าดูเป็นอย่างยิ่ง

 

            ความสนุกยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เวลา 12.00 น. เราไปลุยกันต่อที่ถ้ำเลเขากอบ สุดยอดความตื่นเต้นการผจญภัยในถ้ำที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพราะที่แห่งนี้มีความสวยงามมาก และหาดูได้ยากนักกับการล่องเรือลอดถ้ำแบบถ้ำเลเขากอบแบบนี้ เพราะการล่องเรือเข้าไปข้างในถ้ำ นักท่องเที่ยวต้องนอนราบไปกับเรือ เพื่อชมความงามของหินงอกหินย้อยที่อยู่บนผนังถ้ำ ชนิดที่เรียกว่าหินเฉียดจมูกกันเลยทีเดียว

 

            ส่วนใครที่ชอบดำน้ำก็พลาดไม่ได้เลย เวลา 15.00 น. ไปดำผุดดำว่ายดูปะการังกันที่เกาะเชือกซึ่งเป็นเกาะหินไร้หาดที่นับได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำโดยแท้จริง จุดเด่นของเกาะนี้อยู่ที่จุดดำน้ำตื้นที่สมบูรณ์และสวยงาม ซึ่งมีกระแสน้ำเชี่ยว จึงต้องใช้เชือกคอยช่วงพยุงตัวเวลาดำน้ำ จึงเป็นที่มาของเกาะเชือก ที่นักท่องเที่ยวสามารถชมโลกใต้ทะเลที่สวยงามชนิดที่ไม่ต้องเป็นนักดำน้ำมืออาชีพ ก็มีสิทธิ์เห็นดอกไม้ทะเล ปะการังเขากวาง ปะการังอ่อน และหมู่ปลาหลากสีที่สวยเหมือนในภาพถ่ายได้เช่นกัน

 

 ชาร์จพลังกาย-ใจ ที่ 4 จ.ภาคใต้

 

            มาเที่ยวตรังทั้งทีก็อย่าลืมแวะรับประทานหมูย่างเมืองตรัง อาหารรสล้ำดังคำขวัญจังหวัดที่ว่า “เมืองพระยารัษฎา ชาวประชาใจกว้าง หมูย่างรสเลิศ ถิ่นกำเนิดยางพารา เด่นสง่าดอกศรีตรัง ปะการังใต้ทะเล เสน่ห์หาดทรายงาม น้ำตกสวยตระการตา”

 

            นอกจากจะได้รับความสุขจากการได้เที่ยวชมความสวยสดงดงามของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของภาคใต้กันแล้ว ระหว่างทางยังได้เก็บประสบการณ์อันมีค่าที่หาไม่ได้จากตำรา หรือสื่อออนไลน์ไหนๆ ซึ่งไม่เพียงแต่สี่จังหวัดนี้เท่านั้น ในภาคใต้ยังมีจังหวัดอื่นๆ อีกมากมายที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างกันไป รอให้เราไปพบเจออยู่ เข้าทำนองที่ว่า เที่ยวทั่วไทย ไม่ไปไม่รู้”…

 

ส่วนใครที่มัวแต่ไปท่องเที่ยวที่ต่างประเทศ ก็อย่าลืมหันกลับมามองดูว่าแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยก็สวยงามไม่แพ้ประเทศใดๆ ในโลก ถ้าใครอยากรู้ว่าโดดเด่นสวยงามแค่ไหน ก็เตรียมแพ็คกระเป๋า แล้วออกเดินทางไปกับถนนสายท่องเที่ยวได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา: อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update 08-02-53

อัพเดทเนื้อหาโดย:อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code