จุดประกาย นวัตกรรมสุขภาพผู้สูงวัย จากบ้าน…สู่การลงทุน
ที่มา: เวทีประกวดรางวัลสุดยอดนวัตกรรม “โครงการบ่มเพาะเพื่อพัฒนานวั

ไม่ได้ มุ่งแพ้ – ชนะ แค่ต้องการสร้าง “จุดประกายให้สังคม” ฉุกคิดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ สอดคล้องกับสัดส่วนประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นที่มาของเวทีประกวดรางวัลสุดยอดนวัตกรรม “โครงการบ่มเพาะเพื่อพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ “HealthTech X 2 The Future” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชน สตาร์ทอัพ และ ผู้ประกอบการ ร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมเพื่อกลุ่มคนเปราะบาง

ผลงาน “FLOWMIND-RA : AI deep tech วัดแรงปัสสาวะด้วยเสียง ตรวจด้วยตนเองที่บ้านง่าย ๆ เพราะการได้ยินเสียงร่างกาย คือ จุดเริ่มต้นของการใส่ใจสุขภาพ” ของกลุ่ม Eldente ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทประชาชนทั่วไปและสตาร์ทอัพ

นพ.ลาภณวัส สันติธรรม หัวหน้าทีม Eldente เล่าว่า จุดประกายการสร้างนวัตกรรม และเข้าประกวด มาจาก เห็นรุ่นพี่ ส่งนวัตกรรมสุขภาพ เข้าประกวดใน HealthTech X 1 และเมื่อได้มาเรียนต่อ ระบบทางเดินปัสาวะ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ได้พบเห็นปัญหาของผู้สูงอายุที่ตาบอดแล้วไม่สามารถบอกได้ว่า ตนเองมีปัสสาวะผิดปกติหรือไม่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประมวลผลอัตราไหลของปัสสาวะด้วยเสียง
จากสถานการณ์สุขภาพ พบว่า ผู้ชายส่วนใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป 50% มักมีภาวะต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะไหลช้า แต่ไม่รู้ตัว จนกว่าจะมีอาการ รู้ตัวอีกที่ปัสสาวะไม่ออก ไปห้องฉุกเฉิน และเกิดภาวะไตวาย ซึ่งหากมองในแง่ของอัตราค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยไตวาย พบว่าสูงถึง 16,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น
จะดีกว่าไหมถ้ามี “ระบบคัดกรองภาวะความเสี่ยงอุดกั้นทางเดินปัสสาวะด้วยเสียง” ด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน และวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ ขณะปัสสาวะ เพื่อให้ AI ประมวลเสียง หากพบว่าผิดปกติ สามารถส่งต่อข้อมูลให้แพทย์ได้ทันที โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
“ผู้สูงอายุมีปัญหาเรื่องการปัสสาวะกว่า 50% แต่ 60% ไม่เคยเจอหมอทางเดินปัสสาวะ เพราะจำนวนหมอในไทยมีแค่ 423 คน หรือคิดเป็นแค่ 0.64 คนต่อแสนประชากร น้อยกว่า ประเทศญี่ปุ่น 12 เท่า ทำให้การเข้าถึงการรักษาน้อย และเจอว่าหากยิ่งเป็นคนไข้ตาบอดไม่สามารถสังเกตตัวเองได้ ว่าปัสสาวะพุ่งเร็วหรือช้า จึงคิดเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา เพราะการฟังเสียง และแปลข้อมูลออกมา สามารถแก้ไขปัญหาได้ และไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง ” นพ.ลาภณวัส กล่าว

นายนฤศันส์ ธันวารชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์ประชากร ที่มี อัตราการเกิดต่ำกว่าอัตราการตาย และจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น และในปี 2030 หรือ อีก 5 ปี ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จะเข้าสู่ Super-aged trajectory หรือ สังคมสูงวัยระดับสุดยอดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มากถึง 30%
ข้อมูลดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index)ในระหว่างปี 2023 – 2024 พบว่า ในหมวดของสุขภาพ การพัฒนารักษามะเร็งแบบเชิงลึกระดับพันธุกรรม หรือ Cost of Genome Sequencing ลดลงเหลือ 11.1% แต่การพัฒนานวัตกรรมด้านการรักษามะเร็งแบบ รังสีรักษา หรือ Cancer Radiotherapy เพิ่มขึ้น 1.3% เช่นเดียวกัน นวัตกรรมการทำอย่างไรให้เพิ่มอายุขัยเฉลี่ยของคนมากขึ้น
Life Expectancy 0.7%
ดังนั้น ในกลุ่มนักลงทุนต้องพัฒนานวัตกรรมให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และความชื่นชอบของกลุ่มด้วย แม้ว่าปัจจุบันในไทย จะมีระบบบริการสุขภาพ การดูแลผู้สูงอายุดี แต่ยังสามารถพัฒนาให้ดีกว่านี้ได้อีก นี่จึงเป็นแรงขับให้รัฐบาลต้องเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้เข้าไปอีก ดังนั้น การคิดค้นนวัตกรรมด้านสุขภาพ จึงเป็นทางออกที่จะช่วยลดค่าใช้จ่าย มากกว่ามุ่งเป้าแต่การรักษาอย่างเดียว และลดปัญหาความแออัดในโรงพยาบาล เพราะนวัตกรรมเกิดขึ้นและทำได้ที่บ้าน
“ในการคิดค้นนวัตกรรมสุขภาพไม่อยากให้คิดแค่ต้องสร้าง แอปฯ ใหม่ แต่ต้องพัฒนาจากพฤติกรรมการใช้งานบ่อยครั้งของกลุ่มเป้าหมาย โดยพบว่า ผู้สูงอายุใช้แอปฯ สุขภาพ มีแค่ 10% เท่านั้น และส่วนใหญ่ของผู้สูงอายุนิยมใช้ LINE ดังนั้น ควรนำจุดนี้มาพัฒนา ” นายนฤศันส์ กล่าว

นายชาคิต พรหมยศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้งกลุ่ม Young Happy กล่าวว่า อีก 25 ปี สัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกจะมากถึง 2,000 ล้านคน และเทรนด์ตลาดโลก 1 ใน 3 กำลังมุ่งสู่ เศรษฐกิจอายุยืน หรือ Longevity Economy กรอบเศรษฐกิจใหม่ที่มองการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพเป็นโอกาสทางธุรกิจ โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่ม Silver Age หรือ ผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไป
ขณะที่ผู้สูงอายุ มี 3 เรื่องหลักในด้านกายภาพ ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่แข็งแรง ผู้สูงอายุติดบ้าน และผู้สูงอายุติดเตียง ดังนั้น การทำนวัตกรรมต้องดูกลุ่มเป้าหมาย และต้องเข้าใจว่าเม็ดเงินที่จะเข้ามาสนับสนุนหรือกำลังซื้อมาจากที่ใด ดังนั้น ต้องมีการวางแผนด้วยความเข้าใจปัญหาสังคมสูงวัยในแต่ละพื้นที่ ว่ามีความแตกต่างกัน
“ที่ผ่านมาการทำนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุในไทย มักมุ่งขายกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลักแต่ลืมดูข้อเท็จจริงว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่กลับมานิยมพึ่งพาภาครัฐ ในส่วนบริการสุขภาพ นี่จึงเป็นสาเหตุที่นวัตกรรมผลิตมาแล้วไม่สามารถขายได้” นายชาคิต กล่าว

นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การประกวด HealthTech X 2 ครั้งนี้ ให้ความสำคัญน้อยมากกับใครแพ้ ใครชนะ แต่ต้องการมีพื้นที่ให้คนกล้าคิด กล้าทำ สร้างการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะคนเจนใหม่ ๆ เข้ามาช่วยสังคม คนเปราะบาง คนสูงอายุ คนพิการ หรือ คนที่เสี่ยงเป็นโรค NCDs ผ่านนวัตกรรม นำไปสู่ชุมชน หรือพื้นที่เหลื่อมล้ำเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ ที่มีข้อจำกัดหลายด้าน โดย HealthTech จะกลายเป็นจิ๊กซอว์ เชื่อมสุขภาพทั้งแบบครอบครัว และตัวเอง
การพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ ไม่ใช่การหาผู้ลงทุนมาร่วมทุนเพื่อพัฒนาระบบเท่านั้น แต่จะนำนวัตกรรมไปใช้ในพื้นที่เป้าหมายของ สสส. ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ จากตำบล
เป็นอำเภอ หรือ จังหวัด จนเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่เสี่ยงโรค NCDs รวมถึงเหล้า-บุหรี่
“สสส. จะเป็นคนกลาง ส่งต่อเทคโนโลยีไปสู่คนเปราะบาง ทำให้เห็นว่ามีประโยชน์ สามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ช่วยเรื่องการสื่อสาร เตือนตัวเอง จากคนในครอบครัว เพราะการดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องของคน ๆ เดียว แต่คนรอบตัว จะช่วยมาดูแล เพื่อทำให้ภาระทางสุขภาพลดลง” นายสัมพันธ์ กล่าว

ทางรอดและความยั่งยืนของสังคมผู้สูงอายุ ไม่ใช่จำนวนโรงพยาบาล จำนวนบุคลาการแพทย์-พยาบาลที่เพิ่มขึ้น แต่ผู้สูงอายุต้องอยู่อย่างสมาร์ท แข็งแรงทั้งกาย-ใจ ไม่พร่องหรือขาดสภาพทางการเงิน เพื่อไม่เป็นภาระใคร และที่สำคัญต้องเท่าทันเทคโนโลยี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี


